วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เขียนถึง "ยุโรปของเพลงดาบ"






หากจะไม่เขียนอะไรถึงหนังสือเล่มนี้เลยคงไม่อาจบอกตัวเองได้ว่าเป็นแฟน ตัวยงของนักเขียนที่มีนามปากกาเท่ๆว่า "เพลงดาบแม่น้าร้อยสาย" ย้อนกลับไปหลายปีดีดัก ต้องยกเครดิตทั้งหมดของความหลงใหลในหนังสือประเภท วรรณกรรมการเดินทาง (Travel literature) แก่เพลงดายฯ ที่ทำให้เรารักหนังสือปประเภทนี้จากที่ได้เริ่มต้นอ่านหนังสือของเธอ เพลงดาบฯเปิดโลกจินตนาการในการเดินทางกับเราโดยแท้ ทำให้เราตื่นตาตื่นใจกับการเดินทางแบบ "Back pack" ของผู้หญิงคนเดียวในอินเดียหรือทิเบต และการเดินทางแบบช้าๆ (Slow travel) ที่ค่ำไหนนอนนั่น ไม่เร่งรีบ รวมไปถึงการเลือกที่จะไปเมืองเล็กๆและเล่าเรื่องแบบมีแรงบันดาลใจจากข้างใน เป็นสีสันให้กับคนอ่านได้เคลิ้มคล้อยไปกับอารมณ์ละเมียดละไมของนักเดินทาง รวมไปถึงการเขียนโปสการ์ดที่ต้องยกให้ว่าเธอเป็น "เซียนโปสการ์ด" ของแท้และดั้งเดิม ที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสะสมของตัวเราเองและเริ่มต้นเขียน โปสการ์ดในที่สุด

ทั้งหมดข้างบนคืออารัมภบทที่ขอเขียน เกริ่นถึงนักเขียนซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาอันดับหนึ่งในดวงใจประเภทหนังสือท่อง เที่ยวและเดินทาง ที่ตื่นเต้นหนักหนากับหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดนี้ก็เพราะหากใครติดตามหนังสือ ของเพลงดาบฯเหมือนกันคงพอรู้ว่านี่เป็นหนังสือเดินทาง(เต็มๆ)เล่มแรกในรอบ หลายปีของเธอ ฉะนั้นเมื่อเห็นแว่บแรกในร้านหนังสือจึงแทบกระโจนเข้าใส่และัเมื่อหยิบขึ้น มาลูบๆคลำๆก็พาลน้ำตาจะไหล (เว่อร์มาก) ดีใจยิ่งนักเหมือนได้เจอรักแท้ (ฮ่าๆ)

เรื่องราวในหนังสือเป็นการเดินทางยุโรปในสามประเทศ คือ ฝรั่งเศส เนเธอแลนด์ และเยอรมนี โดยที่มีเป้าหมายอยู่ตามบรรดาพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีผลงานของศิลปินในดวงใจของ เพลงดาบฯ คือ Claude Monet (โมเนต์) ศิลปินภาพเขียนแนวอิมเพรชชั่นนิสต์ (Impressionism) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการท่องยุโรปครั้งนี้ ทริปเริ่มต้นที่ปารีสไล่ไปตามพิพิธภัณฑ์สำคัญๆที่มีงานของโมเนต์ โดยเฉพาะที่ Musee' National de l'Orangerie ที่แสดงผลงานชิ้นโบว์แดงของโมเนต์ไว้มากมาย เพลงดาบฯยกคำพูดของ ครูเทพศิริ สุขโสภา ขึ้นมาเมื่อได้ไปเยือนที่นั่นและพูดกับเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าดูแลว่า "คุณรู้มั้ยว่าคุณกำลังยืนอยู่ ณ จุดที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้" (การอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ได้ความรู้เกี่ยวกับศิลปะแนวอิมเพรชชั่นนิสต์ ตามไปด้วย) การท่องเที่ยวตามแรงบันดาลใจโมเนต์ออกจาปารีสไปยังเมืองเล็กๆซึ่งเป็นบ้าน พักของเขาที่เมือง Giverny เมืองเล็กๆห่างออกไปประมาณ 80 กม. ที่พักอาศัยสะท้อนบุคคลิกและแรงขับดันสำหรับการสร้างสรรค์งานศิลปะได้เป็น อย่างดี เพลงดาบฯยังพาไปเที่ยวที่อื่นๆด้วยแนวคิดนี้อีก เช่น ที่พำนักสุดท้ายของแวนโก๊ะ (Vincent van Goh) ที่หมู่บ้าน Auvers-sur-Osie เป้นต้น หมู่บ้านนี้อยู่ห่างจากปารีสประมาณ 30 กม. ห้องของแวนโก๊ะเป็นเพียงห้องเช่าเล็กๆในโรงเตี๊ยมที่ชื่อ Auberge Ravoux ด้วยความขัดสนอย่างยิ่ง เขาเ้ป็นศิลปินคนหนึ่งที่ไม่มีโอกาสได้รับความชื่นชมและผลความสำเร็จในขณะ ที่ยังมีชีวิตอยู่แต่หลังจากนั้นร้อยปีงานของเขากลายเป็นของหายากและมี มูลค่ามหาศาลหรือบางชิ้นประมาณค่ามิได้

จากปารีสมุ่งหน้า สู่อัมสเตอร์ดัม จากการอ่านทำให้จินตนาการถึง คลองเล็ก คลองน้อยไหลผ่านกลางเมือง และผู้คนที่ขี่จักรยานกันควักไคว่ไปตามซอกซอย มาถึงอัมสเตอเร์ดัมส์เพลงดาบฯพาไปชมพิพิธภัณฑ์แอนน์ แฟรงค์ เด็กสาวที่บันทึกเรื่องราวของตนเองและครอบครัวระหว่างหลบอยู่ในห้องแคบๆนาน สองปีระหว่างการหลบหนีการไล่ล่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของฮิตเลอร์สมัยสงคราว โลกครัง้ที่ 2 อีกสถานที่หนึ่งที่สำคัญคือบ้านของศิลปินและนักค้าชายผลงานศิลปะคนสำคัญของ ชาวดัตช์ Rembrandt ซึ่งมีชื่อเสียงกับผลงานภาพพิมพ์แบบ Etching "บ้านใครก็บ้านมัน" เป็นคอนเส็ปต์ที่เพลงดาบฯบอกว่าหากอยากรู้จักเจ้าของบ้านก็ต้องทำความณู้จัก กับบ้านของเขาให้เป็นอย่างดี บ้านของเรมแบรนด์นั้นหรูหราโอ่อ่าหากเทียบกับความเป็นอยู่อย่างขัดสนยิ่งนัก ของแวนโก๊ะสมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ แต่ข้อจำกัดเหล่านั้นไม่ได้เป็นเงื่อนไขที่ไม่ยอมให้มนุษย์สร้างสรรค์ผลงาน ศิลปะที่ยิ่งใหญ่ได้

การเดินทางไปจบลงที่เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เพลงดาบฯเล่าเรื่องจากทริป Walking Tour กรุงเบอร์ลินซึ่งพาไปยังสถานที่สำคัญๆในช่วงยังแบ่งแยกเป็นตะวันออกและตะวัน ตก อาทิ ฺBrandenburg Gate, Checkpoint Charlie, The Book Burning Memorial ในมหาวิทยาลัย Humboldt,The Berlinner Dome และจุดที่กล่าวถึงในตอนท้ายเล่มคือ Memorial of the Murdered Jews of Europe ซึ่งเป็นปะติมากรรมแม่งคอนกรีตสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเทาๆสูง เตี้ย ลดหลั่นไปมา ให้คนเข้าไปสัมผัสความรู้สึกขณะเดินผ่านเส้นทางที่แคบและยาวในนั้นเพื่อ ระลึกถึงความรู้สึกของชาวยิวจำนวนมากมายที่กำลังถูกพาไปยังค่ายกักกันและถูก ฆาตกรรมในที่สุด

หนังสือเล่มนี้เพลงดาบฯเขียนบรรยายสิ่ง ที่คล้ายๆจะเป็นความหมายของ "การเดินทาง" สำหรับเธอเอาไว้อย่างน่าสนใจ ที่พออ่านแล้วก็ทำให้นึกถึงว่าทุกๆครั้งของการเดินทางมันมีคุณค่าอะไรสำหรับ เราเองบ้าง เพลงดาบฯบอกว่า
"การเดินทางขยายขอบเขตความสนใจของเราทั้ง ในแนวกว้างและแนวลึก..สิ่งที่น่าสนใจที่ผ่านไปพบเจอสิ่งหนึ่งจะนำไปสู่สิ่ง น่าสนใจอื่นๆในวงกว้างขึ้นเสมอ ขฯะเดียวกันการเดินทางก็สามารถพาเราขุดลึกดำดิ่งลงไปในรายละเอียดของสิ่งที่ เราสนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วได้ถึงใจกลางโลก ที่พิเศษเหนือสิ่งอื่นใด การเดินทางกอดคอพาเราไปเจอทุกสิ่งที่ว่ามาได้อย่างเปี่ยมชาติเป็นที่สุด"

ช้างบนเป็นบทสรุปอย่างดีที่ทำให้ยืนยันกับตัวเองได้ว่าเหตุใดเราถึงรักการเดินทางแบบ "เพลงดาบฯ" มากระทั่งถึงทุกวันนี้ :)

ไม่มีความคิดเห็น: