วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

คุณพ่อขายาว


อ่าน "คุณพ่อขายาว" หรือ Daddy Long-Legs จบไปในเวลารวดเร็ว เป็นการอ่านที่ต้องใช้จินตนาการมากทีเดียวเพราะ "จูดี้" ช่างสรรหาเรื่องมาเล่าในจดหมายได้เต็มไปหมด กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันเธอก็ดูจะน่าสนใจไปซะทั้งหมด การเล่าเรื่องของนวนิยายใช้การเขียนจดหมายเดินเรื่องเราซึ่งเป็นผู้อ่านจึงต้องคอยวาดภาพตัวละครอื่นๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับจูดี้ไปด้วย เลยใช้การย้อนกลับไปรำลึกถึงสมัยที่ดูการ์ตูนเรื่องนี้ซึ่งนานโข(น่าจะเกือบ ๑๕ ปี) จึงพอจะเห็นภาพลักษณะบุคลิกตัวละครอื่นๆของเรื่องบ้าง

สิ่งที่ชอบในนวนิยายเรื่องนี้แบบรวมๆคงเป็นการให้รายละเอียดกับการเติบโตของเด็กสาวอย่างจูดี้ที่เกิดและโตขึ้นมาในสถานเลี้ยวเด็กกำพร้า แต่แล้วโชคชะตาก็บันดาลให้ได้รับการอุปถัมภ์จาก "คุณพ่อขายาว" ให้ได้เข้าเรียนในวิทยาลัยสตรีชั้นสูง ชีวิตของเธอจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง แม้เริ่มต้นอุปสรรคจะมาจากพื้นเพของการถูกเลี้ยงมาในบ้านเด็กกำพร้าทำให้เธอไม่มีโอกาสเรียนรู้และเข้าใจอะไรอีกมากอย่างที่เด็กทั่วไปควรจะได้ แต่ทว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งกีดขวางความพยายามที่จะเรียนรู้และเติบโตไปตามความฝันที่ดธออยากจะเป็นเลยแม้เต่น้อย จูดี้มีทัศนะที่ดีกับคุณค่าของตัวเองและทัศนะที่ดีของการดำเนินชีวิตด้วย และด้วยการที่ต้องมีชีวิตอย่างยากลำบากในบ้านเด็กกำพร้าถึง ๑๘ ปี เสมือนเป็นฐานที่แข็งแรงที่คอยหนุนให้เธอผ่านช่วงเวลาที่สับสน เศร้าหมอง ท้อแท้ ไปได้

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

Top of The World

Such a feelins comin over me
There is wonder in most everything I see
Not a cloud in the sky
Got the sun in my eyes
And I wont be surprised if its a dream
Everything I want the world to be
Is now coming true especially for me
And the reason is clear
Its because you are here
Youre the nearest thing to heaven that Ive seen

Im on the top of the world lookin down on creation
And the only explanation I can find
Is the love that Ive found ever since youve been around
Your loves put me at the top of the world

Something in the wind has learned my name
And its tellin me that things are not the same
In the leaves on the trees and the touch of the breeze
Theres a pleasin sense of happiness for me
There is only one wish on my mind
When this day is through I hope that I will find
That tomorrow will be just the same for you and me
All I need will be mine if you are here
ยากที่จะขุดตัวเองขึ้นมาจากหลุมดำที่ทั้งลึกและแคบ ยิ่งนานวันแม้ไม่จมลึกลงกว่าเดิมแต่ว่ากลับเริ่มเคยชินและคิดว่าคงไม่สามารถปีนป่ายหาทางออกจากหลุมนี้ได้แน่ คิดได้ดังนั้นจึงถอดใจ เรี่ยวแรงที่จะหาทางออกไปพ้นจากหลุมนั้นก็ดูยากขึ้นทุกที

แสงสว่างนำทางออกมองหายากอยู่หรือเพราะตาเริ่มฟ่าฟางจนมองไม่เห็นกันแน่ เพียงคิดแต่ว่าจะมีคนมาช่วยออกไป โดยที่ก็ไม่รู้ว่าจะหวังได้หรือเปล่า คงเพราะอาจยังไม่เห็นหรือไม่อยากออกไปก็เป็นได้ อยู่ที่มืดๆอาจช่วยสร้างจินตนาการที่เราพึงพอใจ และยังทำให้ไม่ต้องกลัวกับสิ่งที่มองเห็นได้

น่าหดหู่เกินไปจริงๆ

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

ความป่วยไข้

สองสามวันมานี้อยู่ๆก็ป่วยขึ้นมาซะงั้น เริ่มจากเจ็บคอ จากนั้นก็ปวดเมื่อยเนื้อตัว แล้วมารู้สึกตัวรุมๆ และก็เริ่มปวดหัว เป็นลำดับมา สงสัยว่าอากาศมันจะร้อนจัด เด๋วก็อยู่ในที่เย็น แล้วก็ออกไปเจออากาศร้อนด้านนอก รวมทั้งมีปัญหาเรื่องการนอนด้วยสัปดาห์ที่ผ่านมา นอนไม่ค่อยหลับ (รวมทั้งไม่อยากนอนด้วย) ทั้งหมดเลยผสมผเสกลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ(ละมั้ง)

ด้วยเพราะไม่ค่อยเจ็บป่วย(ตามปกติ) เวลาเป็นอะไรขึ้นมา จึงรู้สึกได้เร็ว เห็นชัดว่าตัวเอง เจ็บ หรือ ปวด ตรงไหนบ้าง ดีหน่อยเมื่อไม่สบายก็เลยเหมือนถูกบังคับให้รู้สึกอยากนอนไปโดยปริยาย เลยได้หลับยาวๆ ช่วงกลางคืนต่อกันสองวัน วันนี้เลยรู้สึกว่าอาการไข้หายไป หัวสมองแจ่มใสขึ้น ยังเหลือแต่อาการเจ็บคอที่เป็นรำคาญอยู่ขณะนี้ พยายามไม่ดื่มน้ำเย็น (หรือดื่มให้น้อยที่สุด) และก็กินอาหารอ่อนๆ

เป็นการทบทวนความรู้สึกสองสามวันนี้เพื่อให้รู้ว่านี่เป็นสัญญาณเตือนของผลพวงที่มาจากการใช้ร่างกายมากไปล่ะนะ....

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

Find out what happens when a truth is put before you

How do we react when a truth is presented? Take, for example, what we were discussing the other day - the problem of fear. We realize that our activity and our being and our whole existence would be fundamentally altered if there were no fear of any kind in us. We may see that, we may see the truth of it; and thereby there is a freedom from fear. But for most of us, when a fact, a truth, is put before us, what is our immediate response? Please experiment with what I am saying; please do not merely listen. Watch your own reactions and find out what happens when a truth, a fact, is put before you - such as, 'Any dependency in relationship destroys relationship'. Now, when a statement of that kind is made, what is your response? Do you see, are you aware of the truth of it, and thereby dependency ceases? Or have you an idea about the fact? Here is a statement of truth. Do we experience the truth of it, or do we create an idea about it?

If we can understand the process of this creation of idea, then we shall perhaps understand the whole process of effort. Because when once we have created the idea, then effort comes into being. Then the problem arises, what to do, how to act? That is, we see that psychological dependency on another is a form of self-fulfillment; it is not love; in it there is conflict, in it there is fear, in it there is dependency, which corrodes; in it there is the desire to fulfill oneself through another, jealousy, and so on. We see that psychological dependency on another embraces all these facts. Then we proceed to create the idea, do we not? We do not directly experience the fact, the truth of it; but we look at it, and then create an idea of how to be free from dependency. We see the implications of psychological dependence, and then we create the idea of how to be free from it. We do not directly experience the truth, which is the liberating factor. But out of the experience of look ing at that fact, we create an idea. We are incapable of looking at it directly, without ideation. Then, having created the idea, we proceed to put that idea into action. Then we try to bridge the gap between idea and action - in which effort is involved.

dailyquote@jkrishnamurti.org
Collected Works, Vol. VI - 355

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

The Observer

" the observer is the censor who does not want fear;the observer is the totality of all his experiences about fear.So the observer is seperate from the thing he calls fear;there is space between them;he is forever trying to overcome it or escape from it and hence this constant battle between himself and fear-this battle is such a waste of energy"

From "On Fear"
J Krishnamurti.

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552

ความรู้สึกส่วนตัวขณะนี้คือเหนื่อยหน่ายกับสถานการณ์ทางการเมือง กระแสการวิพากษ์วิจารณ์ การลอบทำร้าย การแบ่งขั้ว การโยนความผิด การโป้ปด ฯลฯ อนาคตที่ยังไม่มีใครสนอีกว่าเศรษฐกิจจะพังเมื่อไหร่ และประเทศไทยจะได้รับผลกระทบแค่ไหน การทำมาหากิน+ปากท้องของคนทำงานจะสามารถอยู่รอดได้อย่างไรในภัยคุกคามที่กำลังมา

เรื่องความเป็นไปชีวิตประจำวันและผู้คนถูกกลบด้วยกระแสความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ทั้งหลายแหล่ คนที่เหลือดูเหมือนจะยอมรับชะตากรรมของตัวเองอย่างสิ้นเชิง จะเป็นอย่างไรก็ได้เพียงแค่ต้องการให้เรื่องราวทุกอย่างจบลงเสียที

ภาวะความรู้สึกแบบนี้อาจไปปิดกั้นการเรียนรู้ของคนในสังคมจากสถานการณ์ทางวการเมืองที่เกิดขึ้นได้ เราผ่านช่วงเวลาที่มีความผันผวนและปรากฏการณ์ทางการเมืองทื่เข้มข้นและรุนแรงมากในระยะเวลาสามสี่ปีที่ผ่านมา แต่เอาเข้าจริงแล้วคนในสังคมสว่นใหญ่เรียนรู้ความสลับซับซ้อนและเงื่อนปมเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด หรืออาจมองแค่เป็นเพียวสถานการณ์ๆหนึ่งเท่านั้น หากมันเกิดซ้ำอีกเราจะสามารถรับมือกับมันได้ดีขึ้นหรือไม่

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552

ในวันหยุดยาว

มันเป็นช่วงเวลาของวันหยุดที่ยาวนานมากที่สุด (เท่าที่จำความได้)นับถึงวันนี้ก็เจ็ดวันพอดี และจะต่อไปอีกสามวันที่เหลือ โอ่...สิบวันที่พี่น้องชาวไทยได้หยุดงานกัน

เราเองไม่เคยต้องอยุดงานยาวนานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มชีวิตการทำงานเพราะทำงานให้หน่วยงานราชการก็เลยต้องมีวันหยุดแบบราชการไปด้วย ซึ่งราชการของเมืองไทยน่าจะมีวันหยุดมากที่สุดแล้วละมั้ง อย่างไรก็ตามแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ "หยุดงาน" จริงๆเสียทีเดียวเพราะยังนั่งทำโน่นนี่ เคลียร์อะไรต่างๆนาๆที่พอจะทำฆ่าเวลาไปได้ มันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวนะสำหรับวันหยุดอันยาวนานที่มาโดยไม่ได้คาดหมาย

ไปที่ไหนก็เจอบรรยากาศค่อนข้างเงียบ อยู่บ้านก็เงียบเพราะบ้านรอบๆส่วนใหญ่ไปต่างจังหวัด บางวันอยู่บ้านคนเดียวยิ่งรู้สึกว่าเงียบมากขึ้น แต่แปลกนะ....เวลาที่เราอยู่กับความเงียบอย่างตั้งใจระยะเวลาหนึ่ง มันเห็นความรู้สึก ความคิดของเราเอง เยอะมาก วิ่งไปมา ทุกๆความรู้สึก นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของอารมณ์ประหลาดๆที่ผุดมาในช่วงวันสองวันนี้

วันนี้เข้ามานั่งทำงานที่ออฟฟิศ ชอบเวลาที่ไม่มีใครเยอะ ดีเหมือนกันเพราะช่วยให้มีสมาธิสำหรับการทำงานเขียนได้มากขึ้น มันเป็นโลกข้างนอกที่ไม่ได้มีใครอยู่ด้วย แต่โลกข้างในเราเองก็ยังเห็นว่ามีผู้คนเต็มไปหมดที่วนเวียนไปมาในห้วงความคิด..

only observation

i'm a bit feeling weird with myself and i don't understand what am i for now.i'm not sure because of either the surroundings or my owns which made me more passive,depressed and uncomfortable.

i've observed myself for a while and i recognised that i hadn't a passion enough for pushing myself to be conscious and energetic perfectly as uaual. i was in trouble which i hardly went through it. i worried and feared how long can i pass this time.But what i can do for now is only observation continually.

บางความคิดเห็นทีเกิดในบางช่วงเวลา...

**ด้านล่างเป็นสองข้อคิดเห็นส่วนตัวซึ่งได้แสดงออกและแลกเปลี่ยนกับวงของเพื่อน รุ่นพี่ อาจารย์ บนพื้นที่สาธารณะออนไลน์เกี่ยวกับสถานการณ์ในช่วงสัปดาห์ของวิฤติทางการเมืองที่ผ่านมา

(แสดงความเห็นต่อข้อเขียนของ"นักวิชาการ"คนหนึ่งเกี่ยวกับวิธีการแสดงออกของความคิดทางการเมือง)
"ในฐานะที่เป็น practitioner ที่พยายามจะใช้ความรู้และสติปัญญาในการทำงานขับเคลื่อนทางสังคม ตัวเองเองมักจะมีปัญหาและมีข้อสงสัยกับการแสดงบทบาทและความคิดเห็นของกลุ่มคนที่เรียกตนเองรวมทั้งที่คนอื่นเรียกว่า "นักวิชาการ"อยู่เสมอ

ไม่ใช่ตั้งข้อสงสัยในเชิงอคติแต่อย่างใด หากแต่เป็นความพิศวงงงงวยกับสิ่งที่เรียกว่า "เหตุผล" และ "จุดยืน" ที่ถูกชูขึ้นมาในสถานการณ์ต่างๆโดยเฉพาะประเด็นทาง "การเมือง" คือตัวเองไม่แน่ใจและไม่มีความรู้เพียงพอที่จะสรุป+ตัดสินได้ว่าอันใดที่ถุกต้องหรือเหมาะสที่สุด เพียงแต่ในฐานะพลเมืองคนหนึ่งของสังคมเมื่อต้องเผชิญชะตากรรมทางการเมืองร่วมกับคนอื่นๆอีกหลายสิบล้านคน เราไม่สามารถจะเข้าใจหรือเข้าถึงทุกๆทฤษฏีทางวิชาการได้ เนื่องจากเราอาจไม่ได้มีความรู้+ไม่ได้ร่ำเรียนมา+ไม่ได้ใช้ชีวิตประจำวันขบคิดอยู่กับสิ่งเหล่านั้น ฯลฯ ดังนั้นการนำมันออกมาอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆต่อสาธารณะจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีทั้งคนเข้าใจ/ไม่เข้าใจ เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย

แต่ที่ยากยิ่งกว่านั้นคือการนำมาอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองที่สลับซับซ้อนยิ่งของสังคมไทย ฉะนั้นในความเห็นส่วนตัวคิดว่า "นักวิชาการ"ไม่ว่าจะมาจากสายไหน สถาบันใด สมาทานแนวคิดแบบใด ก็สามารถอธิบาย/เล่า/บรรยาย ปรากฏการณ์เหล่านั้นตามพื้นฐานความคิด+ความเชื่อของตนเองได้ซึ่งคนอื่นๆเลือกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ เพราะที่สุดแล้วเราทุกคนต่างก็ตัดสินบางอย่างอยู่บน "คุณค่า" ส่วนตัวทั้งสิ้น ดิฉันจึงเห็นว่าเราไม่ควรที่จะไปด่าทอ+ปิดกั้น+ลดทอน ความคิดเห็นใดๆของใคร แต่ในขณะเดียวกันควรจะส่งเสริมให้สังคมได้เรียนรู้ที่จะกลั่นกรอง+ใช้สติปัญญา+ลดอคติ+ใจกว้าง ในการรับฟังความคิดทั้งหลายมากกว่า

ที่สุดแล้วดิฉันเองก็เลือกที่จะ "เชื่อ" ความคิดเห็นบางอย่าง รวมทั้งก็อาจมีความสลดใจ+ไม่พอใจในความเห็นของ "นักวิชาการ" หลายคนในบางครั้งด้วยเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าเราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะยืนอยู่บนฐานการตัดสินที่อาจจะไม่เป็นที่พอใจของใครมากมาย ดังนั้นเมื่อเวลาเห็น"นักวิชาการ" บางคน ที่คอยด่าทอ+เกรี้ยวกราด ใส่ความคิดเห็นของคนอื่นๆอย่างรุนแรงทั้งต่อหน้า/ผ่านช่องทางสื่อ ก็รู้สึกหดหู่ใจทุกครั้ง เพราะแม้จะบอกตนเองว่าเป็นนักวิชาการก็ควรจะเคารพและให้เกียรติในการแสดงความคิดกับคนอื่นด้วยความเท่าเทียมกันมิใช่หรือ มิใช่แบกประสบการณ์+ความเชื่อของตนเองมาเต็มที่และโยนใส่ผู้อื่นอย่างไร้ความเคารพ

ดิฉันเห็นว่าเราควรสร้างพื้นที่+กระบวนการที่สร้างสรรค์และเป็นธรรมในการสื่อสารแก่ทุกคนเพราะฉะนั้นใครจะชอบหรือไม่ชอบอะไร ก็ควรสื่อสารเหตุผลของตนเองอย่างเคารพในความเห็นของคนอื่นด้วยเช่นกัน

(แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น)
"ส่วนตัวไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ที่มันเป็นอยู่ตอนนี้ จะเปิดพื้นที่ของการสื่อสารจากภายนอก ในความหมายว่าคนที่ไม่ได้เป็นเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อน้ำเงินหรือรัฐบาล สิ่งที่ตัวเองรู้สึกจากการติดตามข่าวที่ผ่านมาหลายๆวัน คือ ไม่มีความตั้งใจที่จะเจรจาใดๆทั้งสิ้น และข้อเรียกร้องต่างๆของเสื้อแดงก็มุ่งตรงไปยังรัฐบาลเท่านั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฝ่ายอื่นเลย การเจรจาจะเกิดขึ้นได้ก็ตน่าจะต้องเป็นระหวางรัฐบาลและเสื้อแดงเท่านั้น เรายังมองไม่เห็นว่า "ใคร" จะมาทำหน้าที่เป็นตัวกลางในสถานการณ์นี้ได้

อีกเรื่องที่ยังหาเหตุผลมาไขข้อข้องใจไม่ได้ คือ กลไกของรัฐขณะนี้เหตุใดจึงไม่สามารถปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองและประขาขนให้อยู่ในสภาวะมีความรู้สึกปลอดภัยได้มันล้มเหลวทั้งหมดเลยรึ ประชาชนขณะนี้ต้องอยู่แบบดูแลความปลอดภัยของตัวเองสอดส่องว่าจะออกไปไหนได้บ้าง วันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นตรงไหน จะหลบหลีกอย่างไร

และกับประเด็นเรื่องที่ว่า คนอย่างพวกเราที่อาจจะไม่ได้เป็นสีไหนเลยจะอยู่อย่างไรในสถานการณ์อย่างนี้ สำหรับเราเองคิดว่า อย่างน้อยที่สุดทื่เริ่มต้นด้วยตัวเองได้คือการพยายามติดตามข่าวสารอย่างรอบด้าน และอย่าถูกชักจูงได้ง่าย หรือพยายามวิเคราะห์สถานการณ์อย่างถี่ถ้วน เพราะเรื่องราวตอนนี้มันซับซ้อนเกินกว่าจะตัดสินจากปรากฏการณ์ที่เกิดอยู่ได้เท่านั้น มีสติให้มากที่สุดกับสถานการณ์เช่นนี้

สุดท้ายที่รู้สึกอย่างรุนแรงคือ เหตุใดไม่ว่าใครที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องในนามของความต้องการประชาธิปไตย จึงต้องใช้เครื่องมือของความรุนแรงในการทำร้ายคนอื่นๆอยู่เสมอ นั่งเฝ้าดูข่าวรายวันมาตลอด สิ่งที่เห็นจากทีวี คือ ภาพการทุบรถทำร้ายคน หน่วงเหนี่ยวคน การเข้าไปทำร้ายคนอื่นอย่างเห็นว่าไม่มีทางสู้ ภาพผู้คนที่โมโหและพร้อมปรี่เข้าไปทำร้ายคนที่ตัวเองคิดว่าเป็น "ฝ่ายตรงข้าม"ภาพเหล่านี้มันบั่นทอนจิตใจและความเชื่อเหลือเกินว่าคนเหล่านั้นต้องการประชาธิปไตย เรื่องนี้ตัวเองไม่เข้าใจจริงๆและยังหาเหตุผลที่เป็นธรรมมาอธิบายการกระทำเช่นนั้นไม่ได้ว่าจะทำไปด้วยความปรารถนาดีกับใครได้อย่างแท้จริง หดหู่ใจจริงๆ"

**จุดมุ่งหมายที่เอามาโพสต์ไว้คือต้องการเก็บทัศนะเหล่านี้ไว้เตือนตัวเองต่อไปในอนาคตด้วย:-)

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

มิตรไมตรีไม่มีประมาณ

ความเจ็บปวดที่เธอแบกไว้ โปรดปลดมันลงจากบ่าทั้งสอง
หากไม่สามารถละทิ้งมันได้ชั่วนิรันดร์ ก็ฝากมันไว้ข้างทาง
เพื่อว่าวันหนึ่งที่เธอพร้อม กลับมาเก็บมันและปลดปล่อยทั้ง
มันและตัวเธอออกจากบ่วงรัดของกาลเวลา

หน้าที่ของมิตรภาพคือการเยียวยามวลมิตรที่พ่ายแพ้
บาดเจ็บ ท้อแท้ หลงทาง ความสุกงอมแห่งมิตรภาพ
จะช่วยเธอด้วยเรี่ยวแรงของมวลมิตรที่รายล้อมเธอไว้

อย่าเพียงคิดว่าเธออยู่บนโลกนี้คนเดียว หรือวางใจว่า
เธอสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากเหล่านั้นไป
ได้เพียงลำพัง เธออาจทำได้ก็จริง แต่เธอไม่ปรารถนา
ที่จะเรียนรู้และเปิดพื้นที่ให้มิตรภาพได้งอกงามจากการ
ปันความทุกข์เหล่านั้นไปด้วยกันหรือไร

มิตรมิได้มีไว้เพียงเพื่อแบ่งสุข หากแต่คือการโอบอุ้ม
กันและกันยามมีทุกข์ด้วยเช่นกัน เพียงแค่เธอยอมรับ
ไมตรีจิตไม่มีประมาณด้วยความไว้วางใจอย่างแท้จริง....