วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Times of your life

Good morning, yesterday
You wake up and time has slipped away
And suddenly it's hard to find
The memories you left behind
Remember, do you remember

The laughter and the tears
The shadows of misty yesteryears
The good times and the bad you've seen
A...nd all the others in between
Remember, do you remember
The times of your life (do you remember)

Reach back for the joy and the sorrow
Put them away in your mind
The mem'ries are time that you borrow
To spend when you get to tomorrow

Here comes the saddest part (comes the saddest part)
The seasons are passing one by one
So gather moments while you may
Collect the dreams you dream today
Remember, will you remember
The times of your life

Gather moments while you may
Collect the dreams you dream today
Remember, will you remember
The times of your life
Of your life
Of your life

Do you remember, baby
Do you remember the times of your life
Do you remember, baby


Joanna Wang.

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เพราะเราต่างกันไง

ความแตกต่างของคนเราคงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทำให้่เราอาจทำงาน ใช้ชีวิต มีความสัมพันธ์ ที่เกิดความขัดแย้ง โต้เถียง มีความไม่เข้าใจ เห็นไม่ตรงกัน เหล่านั้นย่อมเป็นไปได้แน่นอน แต่ทว่าหากเราจะมองถึงความสำคัญของการสร้างบรรยากาศในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติที่ทุกคนต่างมีที่ทางในการแสดงออกอย่างเหมาะสม ไม่ทำร้ายคนอื่น เราคงต้องให้ความสำคัญกับความแตกต่างดังกล่าวอย่างระมัดระวังและรอบด้านมากขึ้น

ในชีวิตประจำวันที่เราต้องพบเจอกับคนด้วยหลากหลายสถานะ บทบาท เรามีปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นอย่างไร เราให้ความเสมอต้นเสมอปลายกับเขาเช่นเดียวกันมั้ย หรือเราคิดว่ามันมีเงื่อนไขที่เราต้องปฏิบัติกับคนไม่เหมือนกัน เงื่อนไขนั้นคืออะไรได้บ้าง ? เพราะความเยาว์วัย การศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจ การเป็นที่รู้จักในสังคม ท่าทางความฉลาด ฯลฯ แ้ล้วแต่จะตัดสินอีกมากมายเกี่ยวกับคุณค่าต่างๆ เพราะเหล่านี้จึงทำให้เรามีทีท่าต่างกันไปกับคนรอบข้างหรือไม่

เรายังคงพบการตัดสินแบบข้างต้นได้อยู่เสมอ ทุกที่ ทุกกลุ่มคน ทุกเวลา เหมือนเราต่างพอใจแค่ความตื้นเขินในการรู้จักกัน เพราะเราจะใช้แค่ "สายตา" กับ "อคติ" ส่วนตัวตัดสินทันทีเมื่อพบ เราไม่ลังเลที่จะปิดป้ายกำกับเสร็จสรรพว่าคนๆนั้น (ตามความคิดตัวเอง) เป็นอย่างไร ง่าย สบาย และผ่านไป เหมือนหลายๆเรื่องที่ไม่ถูกขบคิด หรือตั้งคำถาม ในสังคม เพราะมันเริ่มมาตั้งแต่เราวิธีการที่เรามีสัมพันธ์กับคนอื่นในชีวิตประจำวันแล้ว พฤติกรรม ความคิด อคติเหล่านั้น มันเพิ่มพูน โยงใย จากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ไม่จบสิ้น จนใหญ่โตกลายเป็นอคติร่วมของสังคม กลายเป็นพฤติกรรมเสมือนร่วมกัน บ่มเพาะเชื้อ ผ่านวันเวลาอันยาวนาน และเน่าเฟะในที่สุด

อาจมีสมมติฐาน (ที่ไม่รู้เหมาะสมหรือไม่) ว่าคนเราขบคิดอย่างยุติธรรมกับตัวเองน้อยมากเกินไป ทำให้มองข้าม "นิสัยเสีย" ประจำตัวไป เราคงไม่สามารถไปเข้าใจและแก้ไขปัญหาของครอบครัว รอบๆบ้าน ในชุมชน หรือในสังคม ที่เราอยู่ได้ โดยที่เราไม่เคยแม้แต่จะตั้งคำถามกับตัวเอง มันง่ายเกินไปหรือเปล่า? ที่เลือกที่จะละเว้นตัวเอง แต่พร้อมเสมอที่จะจู่โจมตัดสินคนอื่น

การเปิดใจเป็นคำง่ายๆ พูดได้ง่ายๆ เหมือนไม่ซับซ้อน แต่ที่จริงแล้วมีแก่นสาร ความหมาย ที่ลึกซึ้งมากนัก เราควรฝึกฝนตัวเอง โดยยอมเสี่ยงเปิดแผลตัวเอง อย่างค่อยเป็นค่อยไปบ้าง เืพื่อที่จะไปให้พ้นขอบเหวของข้อจำกัดในการทำความเข้าใจโลกและผู้คนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และอาจได้พบกับความมหัศจรรย์ของชีวิตของเรา ชีวิตของคนอื่น และชีวิตของโลก

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

To where you are



Josh Groban
So beautiful and so sentimental !

Who can say for certain
Maybe you're still here
I feel you all around me
Your memory, so clear

Deep in the stillness
I can hear you speak
You're still an inspiration
Can it be (?)
That you are mine
Forever love
And you are watching over me from up above

Fly me up to where you are
Beyond the distant star
I wish upon tonight
To see you smile
If only for awhile to know you're there
A breath away not far
To where you are

Are you gently sleeping
Here inside my dream
And isn't faith believing
All power can't be seen

As my heart holds you
Just one beat away
I cherish all you gave me everyday
'Cause you are my
Forever love
Watching me from up above

And I believe
That angels breathe
And that love will live on and never leave

Fly me up
To where you are
Beyond the distant star
I wish upon tonight
To see you smile
If only for awhile
To know you're there
A breath away not far
To where you are

I know you're there
A breath away not far
To where you are

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Just questions or maybe answers.

How do you do when you have to walk through the road that you've never walked before.
How can you find the right direction to go on and not to lose your way in the midst of your anxiety.
How do you make your mind to keep your belief that you can definitely reach your destination at the end .

What are you looking for? Have you been the same person when the journey was over?
I think I knew the answer,I was not the same anymore.

But I am still willing to discover new roads to go on to somewhere .......far .....farer....

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Bear Wish


อ่าน Bear Wish ของ วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ เสร็จแล้ว ก็อยากจะพา "หมี" ของเราออกเดินทางบ้าง
เป็นความคิดที่ฟังดูตลกดี ความเป็นหมีมันดูเป็นมิตรแท้สำหรับเรา ทางกายภาพมันมีพุงพลุ้ยๆสำหรับกอดเล่นได้ มันมีขนยาว หนา นุ่ม ที่น่าจะอุ่นเวลาอากาศหนาว มันตัวโตและใหญ่ น่าจะปกป้องคุ้มครองภัยได้ มันเดินช้าเหมาะที่จะเดินไปข้างๆกัน ด้วยระดับความเร็วคงที่ ไม่ล้ำหน้ากันมากเกินไป ส่วนทางลักษณะนิสัยมันซื่อ บ่อยครั้งอาจถึงกับไร้เดีรยวสาในบางเรื่อง ชอบคิดเยอะแยะ วนเวียนไปมา แต่ก็แอบฉลาด มั่นคง ไว้ใจได้ ซื่อสัตย์ นิสัยของมันเหมาะจะเป็นเพื่อนแท้ เพื่อนร่วมเดินทาง กับเราจริงๆ

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรารู้จักกัน เราสัมพันธ์กัน เราเข้าใจกัน เราหวังดีต่อกัน
เราห่วงใยซึ่งกันและกัน เรามีที่ว่างระหว่างกันเพื่อให้เราต่างได้เป็นตัวของตัวเอง
เราไม่แตะต้องบางอย่างที่รู้สึกได้ว่ามันเป็นความเปราะบางของอีกฝ่าย
เราช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันเท่าที่อีกฝ่ายจะขอความช่วยเหลือแบบไม่มากหรือน้อยเกินไป
เราเข้าใจอีกฝ่ายอย่างเป็นจริง ไม่คิดเอง ไม่คาดเดา ไม่คาดหวัง
ทั้งหมดนี้คือ "เรา" แบบที่เราควรจะเป็น

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Sleeping to dream



I'm dreaming of sleeping next to you I'm feeling like a lost little boy in a brand new town

I'm counting my sheep and each one that passes is another dream to ashes
and they all fall down.

And as I lay me down tonight,
I close my eyes, what a beautiful sight

Sleeping to dream about you
And I'm so tired of having to live without you
But I don't mind.
Sleeping to dream about you and I'm so tired

I found myself in the riches (Your eyes, your lips, your hair.) And you were everywhere

I woke up in the ditches. I hit the light and I thought you might be here
but you were nowhere. (You were nowhere)
Well, you were nowhere at home.

As I lay me back to sleep
Lord I pray that I can keep

Sleeping to dream about you
And I'm so tired of having to live without you
Well, I don't mind
Sleeping to dream about you and I'm so tired

(Just a little a lullaby to keep myself from crying myself to sleep at night.)

Sleeping to dream about you
I'm so tired of having to live without you
Well, I don't mind
Sleeping to dream about you and I'm so tired

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วางใจเมื่อสัมพันธ์

ปัญหาการขาดความเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ ยังคงคลาสสิค (classic) และธรรมดาสามัญ อยู่กับมนุษย์เราเสมอ บางครั้งฉันก็คิดว่า หรือเพราะมนุษย์เรามีความกลัวอยู่อย่างลึกซึ้งข้างในจนบางทีก็ไม่สามารถสังเกตุได้ อาจเป็นระดับจิตใต้สำนึก นานๆครั้งจึงสำแดงอาการออกมาเสียที เราหวาดหวั่นกับการไม่เป็นที่รัก หวาดหวั่นกับการถูกทอดทิ้ง และอาจหวาดหวั่นกับการเข้ามา-ออกไป ของผู้คนในชีวิต ฯลฯ หลากหลายสาเหตุที่ก่อให้เกิดความสั่นคลอนทางความรู้สึก

ฉันสรุปเอาจากการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรงของตัวเองที่ผ่านมา อาการนี้มันมาจาก "ความไม่วางใจในความสัมพันธ์" ซึ่งเกิืดขึ้นได้กับคนรอบตัวที่เราอาจมีความใกล้ชิดอย่างยิ่ง มีความผูกพัน ใช้เวลาร่วมกันมาก ซึ่งเมื่อถึงตรงนี้อาจจอธิบายแล้วขัดแย้งกับที่ว่า ในเมื่อใกล้ชิด ผูกพัน แล้วเหตุใดจึงไม่มั่นใจ หรือวางใจในความสัมพันธ์นั้นๆ แต่ก็นั่นล่ะความคิดและความรู้สึกที่สลับซับซ้อนของมนุษย์เรา ไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ที่มีเหตุมีผลได้เสมอไป

อาจเพราะความใกล้ชิดและผูกพัน รวมทั้งพึ่งพิงมากจนเกินไป ที่ก่อให้เกิด "ความไม่วางใจ" ที่ซ่อนอยู่ลึกๆมาตลอด จนเมื่อวันหนึ่งมีบางอย่างมากระทบหรือกระตุ้นจึงทำให้มันแสดงผลออกมาในที่สุด มนุษย์เราเกิดความรู้สึกนี้ได้เสมอทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว แต่จะทำอย่างไรที่จะใช้ชีวิตโดยไม่ไปเบียดทับพื้นที่ความสัมพันธ์นั้นๆ ให้อีกฝ่าย (หรือหลายฝ่าย) ต้องได้รับผลเชิงลบอันมาจากอารมณ์หรือพฤติกรรมที่แสดงออกระหว่างกัน

มันอาจไม่มีคำตอบหรือวิธีการสำเร็จรูปที่จะใช้จัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างเป็นสากล แต่ฉันคิดว่าหากเริ่มต้นจาก "การมีสติ" ทุกครั้งที่เกิดความรู้สึกหรือเมื่อแสดงพฤติกรรมนั้นออกไป ดึงมันกลับมาให้ได้ทันท่วงที ไม่ต้องถึงกับห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้น เพียงแต่มีสติรู้ทันทุกครั้งที่มันเกิด ก็อาจทำให้เรายั้งการแสดงออก ไม่ว่าจะทางสีหน้า ท่าทาง คำพูด ซึ่งอาจจะไปทำร้ายคนอื่นได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันน่าจะช่วยทำให้ภายในของเราสงบลงได้บ้าง เพราะเมื่อเรามีสติเราจะลดความวุ่นวายใจ ความร้อนรุ่มจากความคาดหวัง การคิดล่วงหน้า การคาดเดาไปเอง ลงได้บ้าง ทำให้เราสามารถคิดอย่างมีเหตุมีผลได้มากขึ้นต่อสายสัมพันธ์ของปัญหา ที่ถ้าหากเราไม่เข้าไปจัดการกับมันอย่างจริงจังก็อาจกลายเป็นปมชีวิตที่คลี่คลายได้ยากยิ่งขึ้น

คงไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งอาจต้องใ้ช้เวลาไปตลอดชีวิตที่เราจะลุล่วงปมปัญญาเรื่องนี้ สำหรับเราเองมันต้องเข้าไปเผชิญหน้าและท้าทายความรู้สีกนั้นอย่างเต็มตัว หากหลีกหนี วางมันเอาไว้ห่างๆ อย่างไรก็จะกลับมาเป็นปัญหาเดิมอีกแน่นอน การลุล่วงสถานการณ์นี้ไปได้ทีละครั้ง น่าจะขัดเกลาตัวเราเองให้ยืดหยุ่น เข้าใจ ปล่อยวาง กับทั้งตัวเอง และชีวิตความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ได้ยิ่งขึ้นทีละน้อย