วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552

แค่อีกเรืองหนึ่ง

เมื่อต้องอยู่ในภาวะของความขัดแย้ง อึดอัด และคับข้องใจ การที่จะผ่านพ้นช่วงเวลาแบบนั้นไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถามว่า ณ เวลานี้แล้ว มันยากแค่ไหน ฉันก็ตอบได้ว่ามันไม่ยากเหมือนที่มันเคยยากอีกแล้ว เพราะอะไรน่ะหรือ คงเพราะภูมิคุ้มกันที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์และการทดลองแก้ไขปัญหาอย่างลองผิด-ลองถูก แต่ที่สำคัญสุดคือการเติบโตทางภาวะอารมณ์และปัญญาของตัวเราเอง

ชีวิตมนุษย์เราเต็มไปด้วยการถูกบุกรุกพี้นที่ส่วนตัวทั้งข้างนอกและข้างในตัวเราเอง รวมทั้งตัวเราเองที่จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไปบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวคนอื่น มันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ปกติ สามัญที่สุด เมื่อสำนึกได้ดังนั้นแล้วจึงเลิกที่จะนำเรื่องราวความขัดแย้งมาตีความ และขบคิดอีกต่อไปแต่เลือกที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นแค่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าและจัดการมันตามความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผลเป็นหลัก ไม่ทำให้มันมากหรือน้อยเกินไปตามสภาพจริง

เมื่อพบว่าเราเริ่มจัดการกับภาวะเหล่านี้ได้ดีขึ้น ก็พอจะทำให้สติมากขึ้นด้วย ภาวะอารมณ์และความสดใหม่ของความคิดก็ดีขึ้น ไม่จมจ่อมและลุล่วงปัญหาที่เผชิญไปได้อย่างที่มันควรจะเป็น

มันไม่ยากอย่างที่เคยอีกต่อไป......

วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552

Our conflict is in relationship and the understanding of this relationship is the only real problem that each one has.


Self-knowledge is not a thing to be bought in books, nor is it the outcome of a long painful practice and discipline, but it is awareness, from moment to moment, of every thought and feeling as it arises in relationship. Relationship is not on an abstract, ideological level but an actuality - the relationship with property, with people, and with ideas. Relationship implies existence and, as nothing can live in isolation, to be is to be related. Our conflict is in relationship, at all the levels of our existence, and the understanding of this relationship, completely and extensively, is the only real problem that each one has. This problem cannot be postponed nor be evaded. The avoidance of it only creates further conflict and misery; the escape from it only brings about thoughtlessness, which is exploited by the crafty and the ambitious.


From JKrishnamurti.org - Daily Quote
Collected Works, Vol. VI - 50

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

The Prophet ปรัชญาชีวิต

บทที่สาม ความปราโมทย์และความเศร้าโศก

ความปราโมทย์ของเธอนั้น
คือความเศร้าโศกถอดหน้ากากออก
และจากบ่อเดียวกัน
ที่เสียงหัวเราะของเธอผุดขึ้นมานั้น
บ่อยครั้งมันเปี่ยมไปด้วยน้ำตาของเธอ
มันจะเป็นอย่างอื่นใดได้อีกเล่า

ความเศร้าโศกยิ่งบาดลึกลงไปในผิวเนื้อของเธอได้เท่าใด
เธอก็จะสามารถเก็บเอาความปราโมทย์ได้มากขึ้นเพียงนั้น
ก็ถ้วยที่เธอรินใส่ถ้วยองุ่นนั้น
มันจะต้องถูกเผาในเตาอบของช่างปั้นก่อนมิใช่หรือ
และขลุ่ยที่เป่ากล่อมดวงใจเธอนั้น
มิใช่ไม้ที่ถูกบากเจาะด้วยมีดก่อนหรอกหรือ

ขณะเมื่อเธอปรีดาปราโมทย์
จงมองลึกลงไปในดวงใจ
และเธอก็จะพบว่า สิ่งซึ่งได้เคยยังความเศร้าโศกแก่เธอนั้น
กำลังให้ความปราโมทย์แก่เธอ
ขณะเมื่อเธอเศร้าโศก
จงมองลงไปอีกและก็จะพบว่า
แท้จริงนั้น เธอกำลังสะอื้นไห้ถึงสิ่งที่เคยก่อความยินดีมาแล้ว

เธอบางคนกล่าวว่า
ความปราโมทย์นั้นยิ่งใหญ่กว่าความเศร้าโศก
และอีกพวกแย้งว่า
ไม่ใช่ ความเศร้าโศกต่างหากที่ยิ่งใหญ่กว่า
แต่เราขอบอกแก่เธอว่า
มันมิอาจแยกจากกันได้
มันมาด้วยกัน

และขณะเมื่อสิ่งหนึ่งนั่งอยู่กับเธอที่โต๊ะ
พึงระลึกไว้ว่า อีกสิ่งหนึ่งหลับรออยู่บนเตียง
แท้จริงนั้น เธอแขวนไกวอยู่ดุจตาชั่ง ร
ะหว่างความเศร้าโศกและความปราโมทย์ของเธอ
เธอจะยืนนิ่งอยู่และไม่เอนเอียง
ก็แต่ในขณะเมื่อเธอว่างเปล่าเท่านั้น
ขณะเมื่อผู้รักษาสมบัติยกเธอขึ้นเพื่อชั่งเงินและทองของเขา
ก็ไม่จำเป็นที่ความเศร้าโศกหรือความชื่นชมของเธอจะต้องเอียงขึ้นลงด้วย

เขียน คาลิล ยิบราน
แปล ระวี ภาวิไล

เมื่อบางคนจากไป บางคนก็ถึงเวลากลับมา


เมื่อบางคนจากไป บางคนก็ถึงเวลากลับมา จะเป็นเช่นนี้เสมอ
คล้ายจะเป็นความจริงที่อาจยอมรับได้ยากสักหน่อย

การออกเดินทางไกลเสมือนการได้จาริกบุญชำระล้างจิตวิญญาณ
เพราะต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกร่างกาย

เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับการพบกัน การจากกัน เรื่องราวธรรมดาสามัญบนโลกใบนี้ ที่เราอาจจะต้องพบกับมันซ้ำไปซ้ำมาจนไม่รู้จักนับได้

เมื่อไหร่จะ "เคยชิน"..... เพื่อจะได้ไม่รู้สึกรู้สมอะไรกับมันเสียมากมาย

วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2552

The Prophet ปรัชญาชีวิต

บทที่สอง มิตรภาพ

มิตรคือคำตอบต่อความต้องการของเธอ
เขาเป็นเหมือนท้องทุ่งที่เธอหว่านด้วยความรัก
และเก็บเกี่ยวด้วยความขอบคุณ
และเขาเป็นดุจโต๊ะอาหารและร่มไม้ของเธอ
ด้วยเหตุว่า เธอมาสู่เขาด้วยความหิวโหย
และเธอใฝ่หาเขาเพื่อความสงบใจ

เมื่อเพื่อนพูดเปิดอก
เธอย่อมไม่กลัวที่จะขัดแย้งหรือสนับสนุน
และเมื่อเขานิ่งเงียบ
ดวงใจของเธอก็มิได้หยุดฟังสำเนียงจากดวงใจของเขา
เพราะในมิตรภาพนั้น
ความนึกคิด ความปรารถนา
และความมุ่งหวังทั้งหลายย่อมอุบัติขึ้นและร่วมรับรู้ด้วยกันในความสงัด

และด้วยความปราโมทย์อันไร้คำกล่าวใดๆ
เมื่อยามต้องจากเพื่อนเธอก็ไม่เศร้าโศก
เพราะคุณธรรมในเขาอันเธอรักยิ่งนักจะปรากฏชัดแจ้งขึ้นในยามห่างไกล
เช่นเดียวกับที่ชาวเขาจะเห็นยอดผาชัดแจ้งก็ต่อเมื่อมองดูจากทุ่งราบเท่านั้น
และขออย่าได้มีความมุ่งหมายใดๆ ในมิตรภาพเลย
นอกจากเพื่อขยายดวงวิญญาณให้กว้างขวางลึกซึ้งขึ้น
เพราะความรักที่มุ่งหวังสิ่งใดอื่น
นอกจากเพียงเพื่อเปิดเผยความล้ำลึกของตนเองนั้นมิใช่ความรัก
แต่เป็นร่างแหที่ถูกเหวี่ยงทอดออก
และจะจับเอาไว้ได้ก็แต่สิ่งที่ไร้คุณค่าเท่านั้น

และจงให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่มิตรของเธอ
ถ้าหากเขาจำต้องรู้ระดับน้ำของเธอขณะน้ำลด
ก็ขอให้เขาได้รู้ขณะมันเอ่อท้วมท้นด้วย
เพื่อนที่เธอแสวงหาเฉพาะขณะเมื่อยามต้องการฆ่าเวลาเท่านั้นจะมีคุณค่าอะไร?
จงใฝ่หาเขาขณะที่เธอปรารถนาจะดำรงอยู่อย่างแท้จริงด้วย
เพราะเขามีหน้าที่อันจะทำความปรารถนา
-มิใช่ความว่างเปล่าของเธอให้เต็มเปี่ยม
และในความหวานชื่นของมิตรภาพ
ขอจงมีเสียงหัวเราะและการร่วมเริงบันเทิง
เพราะในหยาดน้ำค้างของสิ่งเล็กน้อยนั้นเอง
ดวงใจจะได้พบรุ่งอรุณของมัน และกลับสดใสอีก

เขียน คาลิล ยิบราน
แปล ระวี ภาวิไล

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552

The Prophet ปรัชญาชีวิต

บทที่หนึ่ง: ความรัก

เมื่อความรักร้องเรียกเธอจงตามมันไป
แม้ว่าทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แม้ว่าเสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกราญไปฉะนั้น
เพราะแม้ขณะที่ความรักสวมมงกุฎให้เธอ มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น มันก็จะตัดรอนเธอด้วย
แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ
แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย

ความรักจะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด
มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า แล้วมันจะร่อนเพื่อให้เธอหลุดจากเปลือก
มันจะบดเธอจนเป็นผงขาวแล้วก็จะขยำจนเธออ่อนเปียก
แล้วมันก็จะนำเธอเข้าสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน
เพื่อว่าเธอจะได้กลายเป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า
ความรักจะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ
เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับของดวงใจเธอเอง
และด้วยความรู้นั้นเธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ
แต่ถ้าหากด้วยความกลัว เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุขและความสำราญจากความรัก
ก็จะเป็นการดีกว่าที่เธอควรจะปกคลุมความเปลือยเปล่าของตนและหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด
ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่
ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง และก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้นเพียงพอแล้วสำหรับตอบความรัก

เมื่อเธอรัก อย่าได้พูดว่า พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา
แต่ควรพูดว่าเราอยู่ในดวงใจพระผู้เป็นเจ้า
และอย่าได้คิดว่า เธอสามารถนำแนวทางของความรักได้
เพราะถ้าความรักพบว่าเธอมีคุณค่าพอแล้วก็จะเป็นผู้นำแนวทางของเธอเอง
ความรักไม่มีปรารถนาสิ่งอื่นใด นอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์
แต่ถ้าหากเธอรัก และจำต้องมีความปรารถนา
ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้
เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี
เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป
เพื่อจะต้องบาดเจ็บด้วยความเข้าใจในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหลด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณด้วยดวงใจอันปิติและขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง
เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง และเพ่งพินิจความสุขซาบซึ้งของความรัก
เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนาสำหรับคนรักในดวงใจ และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากของเธอ

เขียน: คาลิล ยิบราน
แปล: ระวี ภาวิไล

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2552

Harvy Milk




"หากปราศจากซึ่งความหวัง ชึวิตก็ไม่มีความหมายอะไร"

จะเป็นเพราะว่าหนังเรื่องนี้คืออัตรชีวประวัติของนักการเมืองเกย์ คนแรกที่ได้เข้าไปนั่งในรัฐสภาอเมริกัน และต่อสู้ จุดพลังให้กับขบวนการเคลื่อนไหวของเกย์และเลสเบี้ยนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน หรือเพราะหนังเรื่องนี้แสดงโดย ฌอน เพน นักแสดงผู้ยิ่งใหญ่เจ้าของรางวัลออสการ์ที่ไม่ว่าจะแสดงบทบาทใด ก็เป็นดังนั้นและราวกับเป็นสิ่งๆนั้นอย่างไร้ข้อสงสัย จะเป็นเพราะอะไรที่ทำให้หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยพลังของการยืนหยัดในสิ่งที่เชื่อ แม้ว่าสิ่งนั้นดูเลือนรางที่จะสำเร็จได้

มีความรู้สึกฮึกเหิมและขนลุกซู่ด้วยความตื้นตันใจตลอดเวลาที่ดูหนังเรื่องนี้ มันช่วยเราทบทวนปรากฏการณ์ทางสังคมไทยไปด้วย พลังของความเชื่อมั่นและยืนหยัดต่อสู้กับความอยุติธรรมอย่างมีเหตุมีผลเช่นนี้มันเคยปรากฏครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ในสังคมไทย...

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

Remembering and Forgetting


(I wrote this journal on facebook nearly month ago but I just realized that there's many stories in my life during this time concerning about "memory","remembering","forgetting")


What is the real significance between "remembering" and "forgetting"?They have always existed in every steps of our life.We always remember something and then we can also forget something.I think,they don't be truely an opposite side but they are like an interbeing.I've noticed myself that I've rarely forget anything in my life especially,stories about people or places I've used to be.Moreover,I've hardly lost anything,no matter what they were small or big things so If I would like to get rid of anything,I've often put efforts intentionally to left or abandoned those things.I was wondering whether could we really choose to forget or remember something.
Where is the real significance between the remembering and forgetting.How do they effect to our world? Sometimes I've upset with my great memory,I just want to forget anything which wounded me.But I've frequently really intended to keep every precious things inside me.For me,It was quite difficult to seperate absolutely between remembering and forgetting.I have both of them being with me.But I would like to practice the art of living without the thought as the reaction of the memory.Because they made me passive and sinking into the burdens of yesterday.

อะไรจะอยู่นานกว่ากัน?


"ยังไงวันหนึ่งคนเราก็ต้องลืมกัน"
"ไม่ลืม ไม่มีหรอก มีแต่ลืมช้ากับลืมเร็ว"

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

ความสุขจากการเติมเต็มความฝัน


สังเกตตัวเองว่าจะรู้สึกอิ่มๆใจ หัวใจพองโต เมื่อเวลาเห็นคนอื่นได้เติมเต็มความฝันของตัวเอง ซึ่งก็รวมถึงตัวเราเองด้วย มันยอดเยี่ยมมากหากเราได้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยทำให้ฝันของใครสักคนหนึ่งเขยิบเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น

เราเองก็มีความฝัน.....และอยากจะไปให้ถึงมันสักวันหนึ่ง แต่ก็รู้ว่าการเดินทางไม่ง่ายและต้องเตรียมสรรพกำลังอีกมากเพื่อเป็นตัวช่วยในการเดินทางไกล แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราเชื่ออยู่ลึกๆว่าอย่างน้อยที่สุดทางที่เดินอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นเส้นทางเดียวกันกับที่จะไปสู่ความหวัง ความฝันของเราแน่นอน

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

There are no simple truths


"เธอจะทำอย่างไรเมื่อเธอไม่แน่ใจ"

บทเทศเริ่มต้นของบาทหลวงฟลินน์ แสดงโดย ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟแมน ตัวละครจากภาพยนต์ Doubt ตลอดทั้งเรื่องเนื้อหาของหนังก็สร้าง "ความไม่แน่ใจ" ให้กับคนดูตั้งแต่ต้นจนจบเช่นกัน

เนื้อเรื่องที่พูดถึงความรู้สึกของความไม่แน่ใจ และการที่แต่ละคนจัดการกับความไม่แน่ใจของตนเองตัวอย่างที่อันตรายที่สุดของการ treat ความไม่แน่ใจของตัวเอง คงเป็นดังตัวละครเอกอีกตัวในเรื่องแม่ชีอาลูซิส ที่แสดงโดย เมอรีล สตรีพ ที่เชื่อและยึดมั่นกับสิ่งที่ตนเองเข้าใจ จนนำไปสู่การโกหกเพื่อที่จะสามารถจัดการปัญหาตามที่ตัวเองสงสัย และจบปัญหานั้นอย่างที่ตัวเองเชื่อ

ความไม่แน่ใจ ความสงสัย เกิดขึ้นตลอดเวลาในชีวิตประจำวันของเราทุกคน เราเลือกจัดการกับมันอย่างไร มันมีเส้นบางๆที่กั้นระหว่าง ข้อเท็จจริง กับ อคติ เพราะทั้งสองสิ่งถูกทำให้เกิดจากมนุษย์ เราจะสามารถซื่อตรงกับเรื่องราวต่างๆที่ต้องเผชิญได้มากแค่ไหน ลดการใช้อคติของเราจัดการกับปัญหานั้นได้มากเท่าไหร่

ฉากหนึ่งในหนังที่หลวงพ่อฟลินน์เทศน์ตัวอย่างเรื่องหนึ่งหนึ่งว่า มีหญิงผู้หนึ่งที่ไปพูดนินทาคนอื่น คืนหนึ่งนอนหลับฝันร้ายเห็นยักษ์เอื้อมมือจะมาบีบคอตนเอง เมื่อตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกผิดบาปก็ไปที่โบสถ์เพื่อไปสารภาพบาปกับพระ พระองค์นั้นบอกให้หญิงผู้นั้นกลับบ้านไปเอาหมอนและปีนขึ้นไปบนหลังคาและใช้มีดกรีดหมอนนั้นเสีย จากนั้นจึงค่อยกลับไปสารภาพบาปอีกครั้ง หญิงผู้นั้นก็กลับบ้านไปทำดังที่หลวงพ่อองค์นั้นแนะนำ จากนั้นก็กลับไปที่โบสถ์อีกครั้ง หลวงพ่อถามว่า เมื่อกรีดหมอนแล้วพบอะไร หญิงนั้นตอบว่าคนเป็ดร่วงหล่นลงมาเต็มไปหมด หลวงพ่อจึงตอบกลับไปว่า งั้นเจ้าจงกลับไปเก็บขนเป็ดเหล่านั้นใหม้หมดเสียก่อนแล้วค่อยกลับมา หญิงผู้นั้นก็ร้องโวยวายว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเก็บขนเป็ดที่ปลิวว่อนไปทั่วเมืองเหล่านั้นได้หมด หลวงพ่อจึงย้อนนางว่า มันเป็นดังนั้นล่ะ การแพร่สะพัดของข่าวลือ เมื่อพูดออกไปเมื่อไหร่ มันก็แพร่สะพัดไปทั่วอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถตามเก็บหรือแก้ไขความเข้าใจผิดของคนอื่นได้

ฉากที่ขนเป็ดปลิวว่อนลงมาจากหลังคา และลอยฟุ้งกระจายไปทั่วเมือง เป็นภาพคำอธิบายอย่างขัดเจนของการพูดในสิ่งที่ตนเองไม่รู้ และไม่แน่ใจ เป็นข่าวลือ ที่ไปไกลยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง แรงและเร็ว เพราะมนุษย์เรามักเลือกที่จะเชื่อเรื่องเล่าลือที่ต้นสายปลายเหตุไม่ได้ ไม่มีข้อเท็จจริงมาพิสูจน์ ตัดสินเพียงแค่ประสาทสัมผัสบางอย่างที่ไม่ครบถ้วนหรือตัดสิน ตีความเหล่านั้นจากประสบการณ์และอคติส่วนตัวเป็นใหญ่