วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

Now,must we not be alone?


Now, must we not be alone? At present we are not alone - we are merely a bundle of influences. We are the result of all kinds of influences - social, religious, economic. hereditary, climatic. Through all those influences, we try to find something beyond; and if we cannot find it, we invent it, and cling to our inventions. But when we understand the whole process of influence at all the different levels of our consciousness, then, by becoming free of it, there is an aloneness which is uninfluenced; that is, the mind and heart are no longer shaped by outward events or inward experiences. It is only when there is this aloneness that there is a possibility of finding the real. But a mind that is merely isolating itself through fear, can have only anguish; and such a mind can never go beyond itself. With most of us, the difficulty is that we are unaware of our escapes.

We are so conditioned, so accustomed to our escapes, that we take them as realities. But if we will look more deeply into our selves, we will see how extraordinarily lonely, how extraordinarily empty we are under the superficial covering of our escapes. Being aware of that emptiness, we are constantly covering it up with various activities, whether artistic, social, religious or political. But emptiness can never finally be covered: it must be understood. To understand it, we must be aware of these escapes; and when we understand the escapes, then we shall be able to face our emptiness. Then we shall see that the emptiness is not different from ourselves, that the observer is the observed. In that experience, in that integration of the thinker and the thought, this loneliness, this anguish, disappears.

The Collected Works Vol. IX Paris 5th Public Talk 7th May 1950
JKrishnamurti

Who says : John Mayer

Who says I can't get stoned
Turn off the lights and the telephone
Me in my house alone
Who says I can't get stoned

Who says I can't be free
From all of the things that I used to be
Rewrite my history
Who says I can't be free

It's been a long night in New York City
It's been a long night in Baton Rouge
I don't remember you looking any better
But then again I don't remember you

Who says I can't get stoned
Call up a girl that I used to know
Fake love for an hour or so
Who says I can't get stoned

Who says I can't take time
Meet all the girls in the county line
Wait on fate to send a sign
Who says I can't take time

It's been a long night in New York City
It's been a long night in Austin too
I don't remember you looking any better
But then again I don't remember you

Who says I can't get stoned
Plan a trip to Japan alone
Doesn't matter if I even go
Who says I can't get stoned

It's been a long night in New York City
It's been a long time since 22
I don't remember you looking any better
But then again I don't remember you

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

What is one escaping from?

Questioner: ...why does one run away? What is one escaping from?"From your own loneliness, your own emptiness, from what you are. If you run away without seeing what is, you obviously cannot understand it; so first you have to stop running, escaping and only then can you watch yourself as you are. But you cannot observe what is if you are always criticizing it, if you like or dislike it. You call it loneliness and run away from it; and the very running away from what is fear. You are afraid of this loneliness, of this emptiness, and dependence is the covering of it. So fear is constant; it is constant as long as you are running away from what is. To be completely identified with something, with a person or an idea, is not a guarantee of final escape, for this fear is always in the background. It comes through dreams, when there is a break in identification; and there is always a break in identification, unless one is unbalanced.

Questioner: Then my fear arises from my own hollowness, my insufficiency. I see that all right, and it is true; but what am I to do about it? You cannot do anything about it. Whatever you do is an activity of escape. That is the most essential thing to realize. Then you will see that you are not different or separate from that hollowness. You are that insufficiency. The observer is the observed emptiness. Then if you proceed further, there is no longer calling it loneliness; the terming of it has ceased. If you proceed still further, which is rather arduous, the thing known as loneliness is not; there is a complete cessation of loneliness, emptiness, of the thinker as the thought. This alone puts an end to fear.

Commentaries on Living Series I Chapter 75 Fear and Escape
JKrishnamurti

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

หลุม

เริ่มต้นขุดหลุมเพราะต้องการที่หลบภัยที่จะสร้างความอบอุ่นใจให้กับตัวเองได้
จากนั้นก็ค่อยๆปีนลงหลุมไปเรื่อยๆ จนอยู่กลางหลุม เมื่ออยู่ไปก็เริ่มรู้สึุกว่า
หลุมยังไม่ลึกพอ ถ้าขุดลึกลงกว่านั้นหน่อยน่าจะอบอุ่นและปลอดภัยขึ้น

ขุดหลุม ลึก ลึก ลึก รู้สึกตัวอีกครั้งก็แทบไม่เห็นแสงสว่างจากโลกภายนอก
เริ่มรู้สึกกลัวความมืด อึดอัด อากาศหายใจไม่เพียงพอ ไม่มีความสุขปลอดภัยอีกแล้ว

แต่ไม่รู้จะขึ้นจากหลุมอย่างไร เพราะมาเสียลึกเหลือเกิน พยายามใช้สิ่งที่ติดตัวมา
พาตัวเองปีนขึ้นไปทีละน้อย และหาทางออกให้เจอ หาแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ให้พบ

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553

การเดินทางเพื่อพบกับอาจารย์(ในร้านคุกกี้)


อ่านหนังสือ "อาจารย์ในร้านคุกกี้" ของนิ้วกลม แล้วประทับใจในหลายๆข้อคิดที่เขียนในแต่ละบท โดยเฉพาะแต่ละเรื่องให้กำลังใจและแรงบันดาลใจที่ดีกับชีวิต

หากไล่เรียงจากการอ่านไป คิดถึงเรื่องแรกซึ่งเป็นเรื่องการ "เริ่มต้น" ทำอะไรสักอย่างแม้ว่าจะดูยากเย็นแต่เมื่อเริ่มได้แล้ว สิ่งที่ยากตามมาคือทำอย่างไรจะหล่อเลี้ยงไฟชีวิตให้ยืนยาวจนกระทั่งภารกิจนั้นๆสำเร็จได้ จากบทตอน"เวลาเข็นรถขึ้นภูเขา เราไม่ควรหยุดกลางทาง" จี คิงส์ลี วอร์ด ผู้เขียน สอนลูกให้ดี บอกไว้ว่า "คอยสังเกตได้แล้วว่าการเข็นรถขึ้นภูเขานั้นยากเพียงใดเมื่อจะเข็นก็ต้องเข็นให้ถึงยอดเนินเพราะถ้าปล่อยไว้กลางทางระจะไหลลงเนินไปอีกต้องเริ่มต้นกันใหม่มัวหยุดพักรีรอไม่ได้"

หลายๆบทในหนังสือเล่มนี้พูดถึงเรื่อง ความพยายาม ทัศนคติต่อความยากในการทำอะไรบางอย่าง การมุ่งมั่นต่อความฝันและความหวังในชีวิต ตอนหนึ่งที่ชอบ "คู่แข่ง ยิ่งเอาชนะได้ยากยิ่งดี" ซึ่งเล่าเรื่องชีวิตของกีฬาวิ่งร้ิอยเมตรซึ่งนับแต่อดีตมา คงไม่มีใครคาดคิดว่ามนุษย์เราจะสามารถวิ่งเข้าเส้นชัยร้อยเมตรด้วยเวลาที่ต่ำกว่า 10 วินาที แต่วันนี้ช่วงระยะเวลาสิบปีสถิติโลกในการแข่งวิ่งร้อยเมตรต่ำกว่า 10 วินาทีทั้งสิ้น และปัจจุบันยูเซียน โบลท์ นักวิ่งจากจาไมก้า เป็นเจ้าของสถิติโลกที่เวลา 9.69 วินาที เมื่อปี 2008 เขายังวิ่งด้วยเวลาอยู่ที่ 10.03 วินาทีอยู่เลยแต่หลังจากนั้นมาเขาก็ไต่ระดับเวลามาเรื่อยๆ ด้วยการเอาเวลาของเจ้าของสถิติโลกก่อนหน้านั้นเป็นที่ตั้งและพยายามทำลายสถิติเหล่านั้นมาเรื่อยๆจนในที่สุดก็เหลือเพียงแค่สถิติของตนเอง "ความเก่งของคนที่อยู่ข้างหน้า ความเก่งของคนที่วิ่งเร็วกว่าเราจึงเป็นเเหมือนขุมพลังที่จะทำให้เราได้พัฒนาศักยภาพให้ถึงขีดสุด"

อีกตอนหนึ่งที่ชอบเกี่ยวกับโจทย์อะไรสักเรื่องที่มันอยู่ในหัวเราตลอดเวลา เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งบางทีนั่งอยู่เฉยๆคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกแต่เมื่อได้เจอกับบางสถานการณ์ซึ่งแม้จะธรรมดา ไร้ความพิเศษใดๆ แต่กลับทำให้เราได้คำตอบของโจทย์นั้นในที่สุด ตอนนั้นคือ "จิตใจจดจ่อ จึงจะเจอะเจอ" พูดถึงชีวิตของ 2 คน ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีคุณค่าให้โลกนี้ คนหนึ่งคือ เซอร์ไอแซก นิวตัน และ บิว บาวเวอร์แมน คนแรกนั้นเราเรียนกันตั้งแต่เด็กๆว่าเขาคือผู้ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลกจากเหตุการณ์นอนอยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ล แต่ใครจะรู้ว่านิวตันไม่ได้แค่บังเอิญปิ๊งแวบขึ้นมาตอนนั้นเห็นลูกแอปเปิ้ลล่วงสู่พื้นเท่านั้น แต่เขาทำการทดลองนับพันครั้งและล้มเหลวมาแล้วไม่ถ้วน เขาเก็บโจทย์นั้นเอาไว้ตลอดเวลา ทุกลมหายใจ เมื่อวันหนึ่งตั้งคำถามว่าทำไมลูกแอปเปิ้ลถึงล่วงสู่พื้น เขาจึงทดลองด้วยการเอาเชือกผู้กับก้อนหินรอบเอว และแกว่งไปรอบๆ พอเห็นว่าหินหมุนรอบมือเขาโดยไม่ล่วง จึงสรุแว่าเชือกนี่เองที่ทำให้หินไม่หลุดไป ดังนั้นเหตุที่โลกและดาวเคราะห์อื่นๆต้องหมุนรอบดวงอาทิตย์และพระจันทร์ต้องหมุนรอบโลกต้องเกิดจากแรงดึงดูดที่ดวงอาทิตย์มีต่อโลกและโลกมีต่อดวงจันทร์แน่ๆ แรงดึงดูก็คือเชือกล่องหนนั่นเอง และการที่แอปเปิ้ลต้องตกลงสู่พื้นโลกก็เพราะแรงดึงดูดของโลกดูดลงมาเช่นกัน ! ส่วนเรื่องของ บิว บาวเวอร์แมน ผู้ก่อตั้งไนกี้ อดีตของเขาคือโค้ชกีฑาของทีมสหรัฐฯ แต่นอกจากฝึกฝนลูกศิษย์ของเขาให้วิ่งดีแล้ว โจทย์ที่อยู่ในหัวตลอดมาของเขาคือจะทำอย่างไรให้รองเท้าวิ่งนั้นช่วยให้การวิ่งดีที่สุดนั่นคือนำ้หนักเบาที่สุด ในเช้าวันธรรดาๆวันหนึ่ง เขาเกิดปิ๊งไอเดียที่จะนำเครื่องทำวาฟเฟิลของภรรยามาให้่เป็นแม่พิพม์ยางรองเท้าโดยจินตนาการว่าพื้นรองเืท้่าที่เป็นลวดลายตารางจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะและช่วยให้เร่งความเร็วได้ดีกว่าพื้นรองเท้าอื่นๆที่สำคัญที่สุด "เบา" จากนั้นไม่นานรองเท้า ออริกอน วาฟเฟิล รุ่นแรกก็ออกสู่ตลาดและได้กลายเป็นนวัตกรรมปฏิวัติวงการกรีฑาด้วยคุณสมบัติที่เหนือกว่าทั้งน้ำหนักเบาและพื้นที่ยึดกับพื้นได้ดี ทั้งสองผู้ยิ่งใหญ่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญอย่างเดียว แต่มันคือการจดจ่อกับ "โจทย์" ของพวกเขาและ "กัดไม่ปล่อย" จนเมื่อได้เวลาและสถานที่ที่เหมาะเจาะ "คำตอบ" มันจึงมา

จากประสบการณ์ของคนอื่น หรือที่พบเจอเอง นิ้วกลมโยงความสัมพันธ์เหล่านั้นเขา้กับความคิดตัวเองได้เนียนจริง และทำให้เราคนอ่านรู้สึกว่าเรื่องเล็กเรื่องน้อยในีวิตของเราเองก็ดี ชีวิตคนอื่นก็ดีล้วนแต่มีความหมาย มีที่มาที่ไป เป็นจุดเชื่อมโยงหรือส่งผ่าน ให้เกิดเรื่องสำคัญๆของชีวิตได้ทั้งสิ้น การเข้าใจตัวเองและเข้าใจโลกต้องเกิดขึ้นควบคู่กันไป

สุดท้ายชอบอีกตอนหนึ่งในเรื่องพูดถึง "หลุม" ที่เราทุกคนอาจเจอในชีวิต ความหมายของหลุมที่นี้หมายถึงอุปสรรค ปัญหา อะไรก็ตามที่สร้างความทุกข์ให้กับตัวเรา ในตอน "ความผิดหวังคือบ่อเกิดพลังที่ดี" นิ้วกลมได้อ่านงานเขียนของมือใหม่คนหนึ่งชื่อหนังสือสั้นๆว่า "หลุม" เรื่องมีอยู่ว่า มีเด็กหญิงและเด็กชายคู่หนึ่งที่ทำความรู้จักและเล่นด้วยกันผ่านกรงรั้วที่กั้นขวางบ้านทั้งสองมานานจนวันหนึ่งเด็กหญิงพูดขึ้นว่า "ถ้าเราสองคนได้ข้ามไปเล่นฝั่งเดียวกันก็คงจะมีความสุขและสนุกกว่ายินคุยกันอย่างนี้" เด็กชายเห็นด้วยทั้งสองจึงช่วยกันขุดหลุม วันคืนผ่านไปเด็กชายยังตั้งใจไม่่ลดละ แม้ว่าเหนือยแต่ไม่ท้อเพราะรู้ว่ามีเด็กหญิงรออยู่อีกฝั่ง แต่ยิ่งขุดลึกลงไปเขาก็ยิ่งพบว่าเสียงอีกฝั่งหนึ่งหายไป สุดท้ายจึงตะโกนเรียกแต่เสียงที่ตอบกลับมากลับบอกว่า "ฉันเลิกเล่นแล้วนะ" เขาจึงได้เข้าใจว่ามีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ขุดหลุมลงมาจนลึกขนาดนี้ อีกฝั่งหนึ่งไม่ได้จริงจังกับการขุดหลุมเพื่อที่จะเชื่อมทางเดินมาเจอกันเลยสักนิด เมืื่ออยากจะเลิกเล่นจึงเดินจากไปได้อย่างง่ายดาย ต่างจากเด็กชายที่แม้จะตะกุยตะกายเท่าไหร่ก็ไม่สามารถขึ้นจากหลุมนั้นได้เสียที เขาได้แต่นั่งเดียวดายอยู่ในนั้นและคิดได้ว่า"สิ่งที่โหดร้ายที่สุดในหลุมนี้ไม่ใช่ความเหงา ไม่ใช่ความหนาว ไม่ใช่ความสับสน หรือความเศร้า แต่มันคือความทรงจำดีๆต่างหากที่คอยดึงเขาไว้ไม่ให้ขึ้นจาก หลุม นี้ได้เสียที" นักเขียนมือสมัครเล่นคนนี้บอกเอาไว้ในหนังสือว่าสิ่งที่เขาค้นพบจากความผิดหวังในความรักเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีที่กระตุ้นให้เขาทำอะไรบางอย่างที่ไม่คิดว่าจะทำได้ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ การเขียนหนังสือ และวันนี้เขาก็ไม่ได้เป็นแค่มือสมัครเล่นอีกแล้ว หลุมเป็นหนังสือเล่มแรกของ "กองโต" ซึ่งขณะนี้ไปเขียนคอลัมน์ให้กับนิตยสารอะเดย์

ขอบคุณหนังสือและผู้เขียนที่สร้างกำลังใจและทัศนคติดีดีให้เพิ่มขึ้นในชีวิตของผู้อ่าน:)

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

Weight of My Words

There are very many things
I would like to say to you,
but i've lost my way
and I've lost my words.

There are very many places
I would like to go
but I can't find the key
to open my door.

The weight of my words-
you can't feel it anymore.
The weight of my words-
you can't feel it anymore.
There are very many ways

I would like to break the spell
you've cast upon me.
Because all the time
I sacrificed myself
to make you want me,
has made you hant me.

The weight of my words
you can't feel it anymore...


Kings of Convenience

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

เดินทางกันต่อไป (เถอะ)

ไม่มากเกินไปหากจะพูดว่า การเดินทางสามารถต่อชีวิตและจิตวิญญาณของคนเราได้จริงๆ เราพบว่าการเดินทางมีคุณค่าในหลายแบบต่อคนเดินทางเอง มันทำให้เรามองเห็นโลกใบนี้ในมุมต่างๆ มันทำให้เราเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันยิ่งขึ้น ทำให้เราเข้าใจตัวเราเองอย่างลึกซึ้ง และอีกมากมายที่เป็นเรื่องระหว่างทางของคนเดินทาง ปีนี้ฉันตั้งใจอยากจะเดินทางไปหลายๆที่ในเมืองไทยซึ่งเคยได้แต่คิด อ่าน ฟังจากคนอื่นๆเขาเล่ากัน ทำไมเราทำให้มันเป็นเรื่องยากไปซะนะ เมืองไทยก็แค่นี้เอง ไม่ได้ยากเย็นเพียวต้องอาศัยการเริ่มต้นของจริงเท่านั้น ฉันรักป่า ต้นไม้ ภูเขาสูง แม่น้ำ แต่ก็ยังหลงใหลชายหาด สีของน้ำทะเล และแสงพระอาทิตย์ที่ทาบผ่านพื้นผิวทะเลอยู่ด้วย

อีกหลายที่ที่อยากไป ตอนเหนือ สุโขทัย น่าน ลำพูน แม่ฮ่องสอน ตะวันออกเฉียงเหนือ เชียงคาน หนองคาย ตอนใต้ ไร่เลย์ สิมิลัน สตูล จะไปได้ครบในปีนี้ไหม ก็ยังไม่แน่ใจ แต่จะเริ่มนับถอยหลังตั้งแต่ตอนนี้ล่ะ :)

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทะเล ยากแท้หยั่งถึง






มีคำกล่าว เรื่องเล่า การเปรียบเทียบ เกี่ยวกับ "ทะเล" มากมาย ไม่ว่าสิ่งที่เราได้ยินมาจะเป็นอย่างไร เมื่อได้นั่งเผชิญหน้ากับทะเลแล้วนั่นคงทำให้เราเข้าใจทะเลของเราเองในที่สุด มองทะเลในเวลาใดของวันก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกันไป เช้าตรู่ สาย บ่าย เย็น พลบค่ำ ทะเลเดิมที่เรามองแต่กลับรู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

คนเราชอบทะเลกันในแบบไหนบ้าง เวลามีความสุข สนุกสนาน ร่าเริง เศร้า เหงา โดดเดี่ยว ทะเลก็พาความรู้สึก ณ ขณะนั้นให้ต่างไปเสมอ