วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หมดเวลา

ใช่หรือไม่ว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของเวลาในแต่ละวันเราไม่เคยอยู่กับตัวเองจริงจังสักน้อย เราไม่เคยอยู่กับ ณ ขณะเวลานั้นๆ เรามักจะล่องลอยกลับไปคิดถึงเมื่อนาทีที่แล้ว ชั่วโมงที่แล้ว เมื่อวาน เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว หรือไม่เราก็ต้องวางแผนของวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า ฯลฯ ยี่สิบสี่ชั่วโมงมันจึงบินหนีไปอย่างรวดเร็ว จนกระโดดตะครุบอย่างไรก็ไม่เคยทันเสียที

รู้ตัวอีกทีคือก่อนหลับตานอนในแต่ละคืน แค่แวบเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ยังคงคิดถึงวันพรุ่งนี้ว่าต้องตื่นกี่โมง แต่งตัวอย่างไร ต้องไปที่ไหนบ้าง ฯลฯ และผล็อยหลับไปในที่สุด หมดเวลา หมดไปอีกวัน

เราไม่เคยอยู่ตรงนั้น เราไม่เคยอยู่กับตัวเองด้วยสติตระหนักรู้ เราจึงกลายเป็นผลผลิตของประสบการณ์จากวันวาน จากอดีต นั่นทำให้เราไร้ชีวิตชีวา ไร้พลัง ไร้ความเบิกบานในหัวใจ

เราจึงต้องการเวลากับปัจจุบันเพื่อสร้างความเป็นมนุษย์ให้กับตัวเองมากขึ้น ต้องละทิ้งเมื่อวานและพรุ่งนี้ออกไปบ้าง
เพื่อได้อยู่กับขณะนี้อย่างแท้จริง

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ใจบางบางรอฝน I จะอยู่ได้นานแค่ไหนหนอ

ฝนตกลงมาอย่างหนักในช่วงวันสองวันที่ผ่านมา นี่คงป็นสัญญาณว่าฤดูฝนมาถึงแล้วจริงๆ ทั่วฟ้าเมืองไทยได้สัมผัสสายน้ำจากฟ้าอย่างทั่วถึงกันหมด มากบ้างน้อยบ้าง เบาบ้างแรงบ้าง ต่างกันไป สำหรับคนอยู๋ชานเมืองอย่างฉันเอง ที่ต้องทั้งทำงาน ธุระในเมืองกรุงอยู๋บ่อยๆไม่ค่อยชอบฤดูฝนนักเพราะเวลาฝนตกรถมักติดและการเดินทางไปไหนก็ไม่สะดวก แต่ถ้าอยู่แค่ที่ทำงานและกลับบ้านก็ไม่รู้สึกกระทบอะไรมากนัก แต่ไหนแต่ไรมารู้สึกว่าช่วงเวลาก่อนฝนตก ขณะฝนตก และ หลังฝนตก มันมีบรรยากาศชวนเศร้าสร้อย เอื่อยเฉื่อย พาลทำให้ความรู้สึกตกลงไปเสียอย่างนั้น ก็เป็นอุปมาอย่างหนึ่ง ..

อย่างไรก็ไม่รู้ ระยะหลังมารู้สึกรักฤดูฝนขึ้นมาก อากาศเย็นๆหลังฝนตกทำให้อากาศที่ร้อนแทบละลายในช่วงปีสองปีนี้บรรเทาเบาบางลง แต่ก็มีสิ่งผิดสังเกตอยู่บ้างนั่นคือ ฤดูร้อนที่ยาวนานผิดปกติและฤดูฝนที่มาช้ากว่าเคย รวมทั้งพลอยทำให้ฤดูหนาวอากาศเย็นลงมากขึ้นแต่นั่นก็เพียงช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น บ้านเมืองเรามีฤดูร้อนเป้นเพื่อนสนิทที่วนเวียนมาพบปะอยู่เสมอและมาใช้เวลาด้วยยาวนานกว่าเพื่อนอื่นๆ อากาศร้อนหนักหน่วงในปีนี้ทำให้เมื่อฝนตกลงมา จึงยิ่งทำให้สำนึกในบุญคุณของสายฝนยิ่งนัก แต่ขอว่าอย่าให้พระพายพัดรุนแรงเกินไปเลยเพราะทำเอาบ้านเรือนพังไปแล้วในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตามปีนี้คนกรุงดูเหมือนจะยิ่งอยากให้ฝนตกมากขึ้น ทั้งเพื่อช่วยบรรเทาบรรยากาศร้อนระอุของสภาพบ้านเมืองและความร้อนที่กำลังเผาใจคนเมือง

แต่ทว่าอย่างที่เขาพูดกัน ฝนจะไปลมจะมาเดายาก ไม่รู้ว่าปีนี้ฤดูฝนจะอยู่นานแค่ไหน จะพึ่งพิงความเย็นจากน้ำฝนอย่างเดียวคงไม่ทันการณ์แล้ว ต้องพยายามพาใจให้ร่มเย็นเองไปด้วย และให้อยู่นาน นาน นานกระทั่งแม้ฤดูฝนจะจากไปแล้วก็ตาม ...

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บทเรียนจากทะเล

"ผมยังจำภาพข่าวแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมืองโกเบติดตา เคยคิดว่าความสูญเสียนั้นน่าจะทำให้คนขยาดการกลับไปอาศัยในที่เดิม แต่ก็เปล่า ทุกวันนี้ชีวิตคนในโกเบดำเนินเป็นปกติ ทั้งที่ทุกคนต่างก็รู็ว่ามันเป็นเมืองที่จะเกิดแผ่นเดินไหวรุนแรงได้ในอนาคต ผมเชื่อว่าหากมันเิกิดขึ้นและสร้างความสูญเสียมหาศาลอีกครั้ง แม้จะสูยเสียมากกว่าเก่า อย่างไรเสียเมื่อสถานการณ์เลวร้ายสงบลง ผู้คนก็จะยังกลับไปสร้างเมืองใหม่ กลับไปอยู่ภายใต้ความอันตรายเหมือนที่คนรุ่นก่อนอยู่มาเนิ่นนาน ความตายเป็นสิ่งหนึ่งที่มนุษย์หวาดผวาที่สุด ทั้งยังเป็นสิ่งผลักดันสำคัญในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อการดำรงชีวิต จึงแปลกที่เรากลับไม่กังวลเรื่อง "ความอันตราย" มากเท่าไหร่นัก เราอาจจะคิดหนักหากมีเหตุให้ต้องเผชิญหน้ากับสนามรบของสงคราม เราอาจจะอ้อนวอนร้องขอชีวิต หากมีใครจ่อกระบอกปืนมาที่ขมับ แต่ดูเหมือนเราจะไม่เกรงกลัวธรรมชาติเท่าที่ควร ทั้งที่ในความเป็นจริง จำนวนคนตายในภัยธรรมชาติบ่อยครั้งมีตัวเลขสู.กว่าการตายในกิจกรรมทำลายล้างของมนุษย์ด้วยกันเสียอีก หรือเราจะกลัวมนุษย์ด้วยกันเองมากกว่ากลัวสายลม ทะเล และภูเขาไฟ และสาเหตุที่เรากลัวมนุษย์เป็นเพราะเราล้วนรู้อยู่แก่ใจใช่หรือไม่ว่า ความต้องการที่จะทำลายล้างกันเองของมนุษย์เป็นคุณสมบัติรุนแรงน่าหวาดกลัวขนาดไหน"

ปราบดา หยุ่น, บทเรียนจากทะเล (เขียนถึงญี่ปุ่น)

บทส่งท้าย

ไม่สงสัย ไม่ถาม ไม่รอคำตอบ เพราะความเงียบงันคือความจริงที่เพียงพอซึ่งยืนยันถึงปัจจุบันและอาจรวมถึงอนาคต
ความลังเลสงสัย และความกลัว เป็นกับดักปิดกั้นมาเนิ่นนานที่จะรับรู้ความจริงและการหลุดพ้น

วาระสุดท้ายมาถึงแล้ว ไร้การร่ำลา ไร้สิ่งที่หลงเหลือ ไม่มีความทรงจำอีกต่อไป
นี่คือบทส่งท้ายที่ไม่มีภาคต่ออีกนับจากนี้ ......

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Find out for yourself


Questioner: Why are some people born in poor circumstances, while others are rich and well-to-do?

Krishnamurti: What do you think? Instead of asking me and waiting for my answer, why do you not find out what you feel about it? Do you think it is some mysterious process which you call karma? In a former life you lived nobly and therefore you are now being rewarded with wealth and position! Is that it? Or, having acted very badly in a former life, you are paying for it in this life! You see, this is really a very complex problem. Poverty is the fault of society - a society in which the greedy and the cunning exploit and rise to the top. We want the same thing, we also want to climb the ladder and get to the top. And when all of us want to get to the top, what happens? We tread on somebody; and the man who is trodden on, who is destroyed, asks, "Why is life so unfair? You have everything and I have no capacity, I have nothing". As long as we go on climbing the ladder of success, there will always be the sick and the unfed. It is the desire for success that has to be understood, and not why there are the rich and the poor, or why some have talent and others have none. What has to be changed is our own desire to climb, our desire to be great, to be a success. We all aspire to succeed, do we not? There lies the fault, and not in karma or any other explanation. The actual fact is that we all want to be at the top - perhaps not right at the top, but at least as high up the ladder as we can climb. As long as there is this drive to be great, to be somebody in the world, we are going to have the rich and the poor, the exploiter and those who are exploited.

- Life Ahead Part One Chapter 4 -
JKrishnamurti

หัวใจที่ไร้บ้าน


ความรู้สึกของการได้พบ"บ้าน"หรือได้"กลับบ้าน" เป็นการแทนคำว่า"ความรัก"ได้ดี บ้านไม่ใช่สถานที่ที่สมบูรณ์ ไม่ได้ให้ทุกอย่างที่เราต้องการ บางครั้งเราก็อยากออกจากบ้าน ไม่อยากกลับบ้าน บงครั้งเราก็ย้ายบ้าน แต่ไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าที่ไหนจะเป็นบ้านของเรา ลึกๆแล้วบ้านคือสิ่งที่เราแสวงหาตลอดชีวิตและท้ายที่สุด เรามักพบว่าบ้านไม่ใช่...สิ่งปลูกสร้างที่มีหลังคา ห้องน้ำ ครัว ห้องนอน ประตู หน้าต่างและกลอนกุญแจ บ้านคืออะไรก็ตามที่เราพร้อมจะฝากหัวใจไว้ ความขัดแย้งอันงดงามของการมีบ้านสำหรับหัวใจ คือเมื่อใดที่เรามีบ้าน อิสรภาพก็จะตามมา เมื่อใดที่พบเจอความรัก หัวใจของเราจะได้รับการปลดปล่อยจากความเคว้งคว้างทั้งปวง --- ปราบดา หยุ่น, หัวใจที่ไร้บ้าน (เขียนถึงญี่ปุ่น)

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

What is Italy?


"Barzini says,Italian will tolerate hideously incompetent generals, presidents,tyrants, professors, bureaucrats, journalists, and captain of industry, but will never tolerate incompetent "opera singers, conductors, ballerinas, courtesans, actors, film directors, cooks. tailors,.. In a world of disorder and disaster and fraud, sometimes only beauty can be trusted." (Eat,Pray,Love - Elizabeth Gilbert)

Robin Hood 2010


โรบินฮู้ดตอนล่าสุดนี้ต่างจากเวอชั่นอื่นๆที่ผ่านมาตรงที่เป็นการเล่าเรื่องกำเนิดโรบินฮู้ด บอกที่มาที่ไปของ โรบิน ลองไสตรด์ ก่อนที่จะกลายเป็นโรบินฮู้ด ดูเรื่องนี้แล้วสมัผัสได้ถึงกลิ่นอายการเล่าเรื่องของ ริดลีส์ สก็อต ในแบบ Gladiator และ Kingdom of Heaven ยังคงมีอยู่ เนื้อเรื่องที่เน้นความเหลื่อมล้ำของชนชั้นที่มีอำนาจและประชาชาโดยเฉพาะผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง การถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนที่มีอำนาจมากกว่า ซึ่งทำให้คนเล็กคนน้อยต้องรวมพลังเพื่อต่อสู้พิทักษ์สิทธิและเสรีภาพของตนเอง ความอยากในอำนาจทำให้ความผิดกลายเป็นความถูกต้อง ทำให้คนสัปปรับ ทำให้คนในชาติเดียวกันทรยศหักหลัง ขายชาติเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในมือตัวเอง อยากให้ลองไปดูเรื่องนี้กันแล้วจะได้เข้าใจโรบินฮู้ดในแบบที่ไม่ใช่เทพนิยายที่สวยงามเพียงอย่างเดียว

เด็กชายเลขที่34


เมื่อคืนนอนเล่นอ่านหนังสือเล่มนี้จบรวดเดียว แรกเริ่มซื้อหนังสือเล่มนี้ด้วยเพราะคนแปล คือ คุณเบียร์ อนุรักษ์ กิจไพบูลย์ทวี ที่เราชื่นชอบและติดตามอ่านงานแปลจากนักเขียนจีนมาหลายเล่ม พอเห็นหนังสือภาพเล่มนี้ก็เลยไม่คิดอะไรมาหยิบ ซื้อทันที "เด็กชายเลขที่ 34" วาดภาพและเขียนโดย เอินจั่ว (Enzo) นักเขียนชาวไต้หวัน เป็นหนังสือภาพประกอบเรื่องที่เล่าเกี่ยวกับการ เติบโตของเด็กชาย ชั้นปอ 1 เลขที่ 34 ที่ในสายตาของทุกคนเขาคือเด็กเกเร ไม่ตั้งใจ สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัว แต่สิ่งที่เด็กชายต้องการมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคืออิสรภาพในการใช้ชีวิต หนังสือเล่าสถานการณ์ต่างๆที่เขาเจอทั้งที่บ้านและโรงเรียน มุมมองของเขาที่มีต่อเพื่อน ครู พ่อ แม่ และการเปลี่ยนแปลงความคิดและตัวเองจนกระทั่งโต อ่านจบแล้วอบอุ่นและกระตุ้นการตั้งคำถามต่อชีวิตและความฝันของตัวเองอย่างมาก อยากให้หามาอ่านกันนะคะ

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เชียงคาน ต้นฤดูฝน






ในที่สุดก็ไปถึงเมืองเล็กในดวงใจ "เชียงคาน" อยู่ในจังหวัดเลยชายแดนไทย-ลาว เชียงคานเป็นเมืองเล็กๆ (จริง) เงียบสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน แม้ว่าจะเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาจากหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่วันนี้ของเชียงคานยังคงไม่รกรุงรัง อึกทึก เหมือนบางเมืองที่กลายสภาพไปเป็นเมืองท่องเที่ยวอยางสมบูรณ์

สิ่งที่ดีที่สุดเมื่ออยู่เชียงคานคือการทำทุกอย่างช้าลง เพราะจังหวะเมืองและผู้คนที่นี่ไม่เร่งร้อน จึงทำให้เราพลอยได้ซึมซับความช้าไปด้วย เดินเล่น ขี่จักรยาน อ่านหนังสือ ดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ริมโขง คุยกับผู้คน เป็นเสน่ห์ของการอยู่เชียงคาน เราสามารถจะเดินเข้าไปคุยกับใครก็ได้ที่พบ ผู้คนดูเหมือนำพร้อมจะคุยและแนะนำสิ่งดีดีให้กับเราเสมอ

บรรยากาศต้นฤดูฝน มีฝนตกลงมาเป็นบางช่วง พอให้อากาศเย็นลง แม่น้ำโขงแม้จะแห้งเหือดลงไปบาง แต่เสน่ห์ก็ยังไม่เสื่อมคลาย ภาพเรือน้อย ใหญ่ ที่ทั้งแล่นไปมา หรือจอดอยู่ริมฝั่ง ทำให้องค์ประกอบภาพของแม่น้ำโขงสมบูรณ์แบบ