วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Not here to be loved


Not here to be loved

เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ด้วยการดูแลบริษัทติดตามทวงหนี้ที่เป็นมรดกตกทอดมาของตระกูล ในเรื่องเขาใช้ชีวิตไปแต่ละวันด้วยสิ่งที่ต้องทำ กับการเดินทางไปดูแลพ่อที่สถานพักฟื้นทุกวันอาทิตย์ แต่ก็ต้องเบื่อหน่ายกับความเจ้าอารมณ์ของพ่ออยู่เสมอ นอกจากนั้นลูกชายจากภรรยาเก่าที่เข้ามาทำงานด้วยก็รู้สึกว่าตนเองเกลียดหน้าที่การงานนี้ เพราะไม่ชอบเวลาต้องไปทวงหนี้ใคร

เมื่อสุขภาพเริ่มแสดงอาการว่าเหนื่อยง่ายมากขึ้น เขาจึงไปปรึกษาแพทย์และได้คำแนะนำว่าควรหากิจกรรมที่ได้ออกกำลังร่ายกายบ้าง นั่นจึงเป็นที่มาของการไปเข้าเรียนคลาสสอนเต้นรำแทงโก ซึ่งสถานที่เรียนอยู่ตรงข้ามอาคารของบริษัทเขาเอง และเขามักจะเฝ้ามองผู้คนที่มาเรียนที่นั่นเสมอ

ที่ีีีนี่เขาได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่ง ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขามากขึ้นเรื่อยๆ เธอเข้าหาเขาด้วยท่าทีและความรู้สึกที่เปิดเผย จนกระทั่งเขาเริ่มมีใจให้เธอ แต่ทว่าสิ่งที่เธอไม่เคยบอกเขาก็คือว่าเธอกำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน ฝ่ายหญิงสาวนั้นก็ต้องถูกทิ้งให้มาเรียนเต้นรำคนเดียว เพราะคู่หมั้นมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาเขียนหนังสือ ยิ่งใกล้วันแต่งงาน เธอก็เห็นสัญญาณหลายอย่างจากคู่หมั้น และเริ่มลังเลใจถึงอนาคต อีกทั้งก็รู้สึกว่าตนเองเริ่มผูกพันทางความรู้สึกกับชายที่คลาสแทงโกมากขึ้นทุกที พวกเขาทั้งสองมีเวลาได้ใกล้ชิดกัน ก็ตอนที่ซ้อมเต้นรำด้วยกันเท่านั้น

เมื่อวันนึงฝ่ายชายได้รู้โดยบังเอิญว่าเธอกำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน เขาก็ถึงกับถอยห่างเธออกไป แต่ด้วยท่าทีเฉยเมย และปฏิเสธเธออย่างชัดเจนว่าไม่อยากเห็นหน้าเธออีก

เรื่องราวดำเนินไป พร้อมด้วยปมหลายอย่างเริ่มคลี่คลาย เมื่อพ่อของฝ่ายชายตายจากไปในที่สุด หลังจากที่เขาทะเลาะกันรุนแรงไม่นาน เมื่อมารับศพ เขาก็ค้นพบถ้วยรางวัลจากการแข่งขันเทนนิสของตนเองมากมาย ที่พ่อเคยบอกว่าทิ้งไปหมดแล้ว และเขาก็เริ่มมองเห็นอาชีพที่น่าเบื่อหน่ายของตนเอง และอนุญาติให้ลูกชายออกไปทำตามที่ตนเองพอใจ

เรื่องราวจบลงโดยไม่ได้สรุปอะไร เป็นแค่ฉากฝ่ายหญิงเริ่มรู้สึกทยไม่ไหว และแสดงอาการร้องไ้ห้ออกมาต่อหน้าคู่หมั้น เมื่อแม่และพี่สาวของเธอทะเลาะกันเรื่องงานแต่งงานของเธอ และฉากสุดท้ายเป็นฝ่ายชายที่กลับเข้าไปคลาสเต้นรำอีกครั้ง และทั้งสองก็เต้นด้วยกัน

หนังฝรั่งเศสเรื่องนี้ ดำเนินอย่างเรื่อยๆ ไม่ได้มีฉากอารมณ์อะไรที่บีบคั้นมากมาย แต่ความรู้สึกของตัวแสดงหลักทั้งสองแสดงออกมาระหว่างการเต้นรำ ดูเหมือนช่วงเวลาของการเต้นรำจะเป็นการเปิดเผยความรู้สึกของทั้งสอง และบทสรุปของหนังไม่มีอะไรชัดเจน ไม่มีการตัดสินอะไรในหนังทั้งสิ้น เรื่องราวเกิดขึ้น และดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็นตามความจริง และไม่ได้ทิ้งท้ายอะไรไว้เพื่อให้เดาได้อีกด้วย

ดูหนังแล้วรู้สึกว่าทุกช่วงชีวิตก็ต้องเผชิญกับความสลับซับซ้อนทางอารมณ์และความรู้สึกของตนเอง ซึ่งนั่นอาจส่งผลต่อการตัดสินใจอะไรมากมายในชีวิตที่ตามมาหลังจากนั้น นอกจากนั้นที่สำคัยไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าทุกอย่างในชีวิตจะดำเนินไปตามแผนทีเราวางไว้ได้อย่างราบรื่นหรือตลอดรอดฝั่ง

นี่คงเป็น "ชีวิต" ขึ้นอยู่กับว่าเราจะข้ามพ้นมันไปด้วยอย่างไร เพราะมันมักจะมีแบบฝึกหัดเข้ามาทดสอบอบู่เสมอ ว่าเราเลือกหรือตัดสินใจถูกต้องหมดแล้วหรือยัง

ไม่มีความคิดเห็น: