วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Across the Ocean


(Mornington Peninsular,Melbourne Australia)

Now I've traveled across the ocean,
with the same shoes just longer hair.
I still carry that picture in my wallet...
from the photo booth- yeah it's still there.
Just give me some kind of sign:
Is this the right place?
Or the right time?
Is this the right time?


(The Lighthouse at Mornington Peninsular)

Now I've landed in the Midwest,
where you lived so long ago.
Remember I was always freezing?
Now I'm covered up in snow.
Please give me some kind of sign:
Is this the right place?
Or the right time?
Is this the right time?

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บางทีรู้สึกว่าเราอยู่ไกลมาก กระทั่งหลงลืมไปว่าไกลแค่ไหนแล้ว
บางทีรู้สึกว่าเราอยู่ใกล้มาก กระทั่งหลงลืมไปว่าใกล้แค่ไหนแล้ว

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Japan and I



วันหยุดยาว 5 วันที่ผ่านไป ได้อ่านหนังสือจบไปจริงจัง 2 เล่ม
คือ "Japan and I" และ "ผู้หญิงกลิ้งโลก"

ในโพสต์นี้ขอเล่าเกี่ยวกับเล่มแรกก่อนซึ่งเป็นงานเขียนเชิงสารคดีเดินทาง
ของนักเขียนซีไรต์ อุทิศ เหมะมูล ที่อ่านไปจนจบก็พบว่าคล้ายได้อ่านประวัติชีวิต
ของอุทิศไปด้วย เขาเล่าเรื่องข้างนอก ซึ่งก็คือ ประสบการณ์เดินทางในญี่ปุ่น
(ในโอกาสที่ได้รับเลือกเป็นผู้รับทุนจาก Japan Foundation)
เดินทางไปบรรยายตามหัวเมืองต่างๆทั่วประเทศญี่ปุ่น) โดยสะท้อนความรู้สึก
นึกคิดผ่านด้านในของตัวเอง แม้ไม่ได้อ่านงานรางวัลซีไรต์ของเขา
"ลับแล,แก่งคอย" ทว่าคำร่ำลือที่บอกว่า เขาเขียนหนังสือได้กระจ่างชัด
ซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมากับตัวเอง(และผู้อ่าน) ก็ไม่ได้มากเกินไป
หากเทียบกับความรู้สึกของเราเองหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบลง
พร้อมๆกับความคิดคำนึงถึงญี่ปุ่นกลับมาเยือนอีกครั้ง
ประเทศนี้ยังอยู่ในความทรงจำเสมอและสัญญากับตัวเองว่า
สักวันหนึงต้องกลับไปอีกแน่นอน

ลองเปรียบเทียบ Japan and I กับหนังสือสารคดีเดินทางเล่มอื่นๆที่เคยอ่านมา
ความต่างคงอยู่ที่ ผู้เขียนบรรยาย,อธิบาย เรื่องราวด้านนอกได้อย่างละเอียดยิบ
ซึ่งดีพอกันกับอธิบายความรู้สึกด้านในของตัวเองได้ละเอียดละออเช่นเดียวกัน
นอกจากนั้นความที่เป็นประสบการณ์การเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก
ทำให้เห็นว่าเขามีความตื่นเต้นและอยากเรียนรู้สิ่งต่างๆอย่างกระตือรือร้น
รวมทั้งไม่คาดหวังมากหรือน้อยเกินไปกับผู้ร่วมเดินทางและทางข้างหน้าที่จะพบเจอ

แก่นสารสาระของหนังสือคงอยู่ที่การเห็นข้างนอกและย้อนกลับมองข้างในของผู้เขียน
เขาสามารถเชื่อมโยงสิ่งต่างๆที่เจอเข้าหากัน รวมทั้งสะม้อนการเรียนรู้ของตัวเอง
ออกมาได้อย่างลึกซึ้ง แม่้ว่าส่วนตัวแล้วออกจะติดขัดกับภาษาของผู้เขียน
ที่ยอกย้อน สำบัดสำนวน รวมทั้งใช้ถ้อยคำยากๆ อยู่เสียเยอะ
ก็พยายามเข้าใจว่าคงเป็นสไตล์การเขียนส่วนตัวของผู้เขียน

หากจะสรุปอะไรสักอย่างจากการเล่มนี้ ก็คงเป็นดังเช่นถ้อยคำบนปกหนังสือที่ว่า
"เดินไปข้างหน้าและย้อนลึกกลับมาข้างหลังในระหว่างกันและกัน"

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Something borrowed


‎"It's a line between love and friendship" ทั้งความรักและความสัมพันธ์
ไม่อาจกะเกณฑ์ตามใจปรารถนาได้เสียหมด
ไม่สามารถขึ้นอยู่กับ คน (สัตว์ สิ่งของ) เวลา สถานที่
บางสิ่งจึงปรากฏขึ้นอย่างไม่ถูกที่ ไม่ถูกทาง ไม่ถูกเวลา
บางทีความรักและความสัมพันธ์ก็อาจต้องการความกล้าหาญ
และสัญชาติญาณที่ดีด้วยเหมือนกัน (มั้ง?)

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ต้องยอมรับว่าสิ่งที่พยายามดึงดันให้ลุล่วง ไม่สามารถเป็นไปได้
กลับเป็นภาวะที่สงบนิ่งได้อย่างคาดไม่ถึง และรู้สึกเบา ไม่เป็นภาระอีกค่อไป
คงต้องเป็นอย่างนี้สินะ ต้องลองพยายามจนถึงที่สุด ต้องลองเผชิญกับความร้อนรน
สับสนวุ่นวายอย่างไม่รู้จักจบสิ้นเสียก่อน จึงจะเข้าใจได้ถึงการปล่อยวาง

ภาระของเมื่อวานไม่สามารถเป็นภาระของปัจจุบันได้อีกแล้ว
ต่อจากนี้คือเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นใจและวางใจกับตัวเองเท่านั้น

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

"การให้อภัยไม่ใช่เรื่องของคนอ่อนแอ แต่เป็นเรื่องของคนที่เข้มแข็ง
เป็นเรื่องของคนที่รักตัวเองอย่างถูกต้อง
ไม่ใช่ปล่อยใจให้ความโกรธเผาลน หรือทำร้ายทั้งวันทั้งคืน"

พระไพศาล วิสาโล
หนังสือ "คืนสู่สามัญ"

(กราบนมัสการขอบคุณพระอาจารย์ที่เตือนสติคนกำลังโกรธและ
ยังไม่อาจยอมรับที่จะให้อภัยได้ ซึ่งมันเป็นทุกข์หนักหนาจริงๆ)

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

ช่วงนี้ของชีวิตเป็นเวลาทีเหน็ดเหนื่อยจริงจัง
ภาระงานมากมายที่ประดังประเดในช่วงเวลาเดียวกัน
รู้สึกว่านับเวลาทำงานเป็นรายชั่วโมง
หายใจไม่ทัน สมองหยุดคิดไม่ได้

ต้องใช้เวลาในการเดินทางพูดคุยกับผู้คน
งานที่ต้องทำร่วมกับคนอื่นมากหน้าหลายตา
เผชิญกับคนและการทำงานที่กระทบเราในเชิงลบ
รู้สึกภาวะอารมณ์ตัวเองแย่มาก น็อตหลุดถี่ขึ้น

เห็นและเข้าใจที่มาที่ไปของสภาวะทั้งหมด
รู้สึกตัวว่าต้องจัดการข้างในเป็นลำดับแรก