วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

The Observer

" the observer is the censor who does not want fear;the observer is the totality of all his experiences about fear.So the observer is seperate from the thing he calls fear;there is space between them;he is forever trying to overcome it or escape from it and hence this constant battle between himself and fear-this battle is such a waste of energy"

From "On Fear"
J Krishnamurti.

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552

ความรู้สึกส่วนตัวขณะนี้คือเหนื่อยหน่ายกับสถานการณ์ทางการเมือง กระแสการวิพากษ์วิจารณ์ การลอบทำร้าย การแบ่งขั้ว การโยนความผิด การโป้ปด ฯลฯ อนาคตที่ยังไม่มีใครสนอีกว่าเศรษฐกิจจะพังเมื่อไหร่ และประเทศไทยจะได้รับผลกระทบแค่ไหน การทำมาหากิน+ปากท้องของคนทำงานจะสามารถอยู่รอดได้อย่างไรในภัยคุกคามที่กำลังมา

เรื่องความเป็นไปชีวิตประจำวันและผู้คนถูกกลบด้วยกระแสความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ทั้งหลายแหล่ คนที่เหลือดูเหมือนจะยอมรับชะตากรรมของตัวเองอย่างสิ้นเชิง จะเป็นอย่างไรก็ได้เพียงแค่ต้องการให้เรื่องราวทุกอย่างจบลงเสียที

ภาวะความรู้สึกแบบนี้อาจไปปิดกั้นการเรียนรู้ของคนในสังคมจากสถานการณ์ทางวการเมืองที่เกิดขึ้นได้ เราผ่านช่วงเวลาที่มีความผันผวนและปรากฏการณ์ทางการเมืองทื่เข้มข้นและรุนแรงมากในระยะเวลาสามสี่ปีที่ผ่านมา แต่เอาเข้าจริงแล้วคนในสังคมสว่นใหญ่เรียนรู้ความสลับซับซ้อนและเงื่อนปมเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด หรืออาจมองแค่เป็นเพียวสถานการณ์ๆหนึ่งเท่านั้น หากมันเกิดซ้ำอีกเราจะสามารถรับมือกับมันได้ดีขึ้นหรือไม่

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552

ในวันหยุดยาว

มันเป็นช่วงเวลาของวันหยุดที่ยาวนานมากที่สุด (เท่าที่จำความได้)นับถึงวันนี้ก็เจ็ดวันพอดี และจะต่อไปอีกสามวันที่เหลือ โอ่...สิบวันที่พี่น้องชาวไทยได้หยุดงานกัน

เราเองไม่เคยต้องอยุดงานยาวนานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มชีวิตการทำงานเพราะทำงานให้หน่วยงานราชการก็เลยต้องมีวันหยุดแบบราชการไปด้วย ซึ่งราชการของเมืองไทยน่าจะมีวันหยุดมากที่สุดแล้วละมั้ง อย่างไรก็ตามแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ "หยุดงาน" จริงๆเสียทีเดียวเพราะยังนั่งทำโน่นนี่ เคลียร์อะไรต่างๆนาๆที่พอจะทำฆ่าเวลาไปได้ มันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวนะสำหรับวันหยุดอันยาวนานที่มาโดยไม่ได้คาดหมาย

ไปที่ไหนก็เจอบรรยากาศค่อนข้างเงียบ อยู่บ้านก็เงียบเพราะบ้านรอบๆส่วนใหญ่ไปต่างจังหวัด บางวันอยู่บ้านคนเดียวยิ่งรู้สึกว่าเงียบมากขึ้น แต่แปลกนะ....เวลาที่เราอยู่กับความเงียบอย่างตั้งใจระยะเวลาหนึ่ง มันเห็นความรู้สึก ความคิดของเราเอง เยอะมาก วิ่งไปมา ทุกๆความรู้สึก นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของอารมณ์ประหลาดๆที่ผุดมาในช่วงวันสองวันนี้

วันนี้เข้ามานั่งทำงานที่ออฟฟิศ ชอบเวลาที่ไม่มีใครเยอะ ดีเหมือนกันเพราะช่วยให้มีสมาธิสำหรับการทำงานเขียนได้มากขึ้น มันเป็นโลกข้างนอกที่ไม่ได้มีใครอยู่ด้วย แต่โลกข้างในเราเองก็ยังเห็นว่ามีผู้คนเต็มไปหมดที่วนเวียนไปมาในห้วงความคิด..

only observation

i'm a bit feeling weird with myself and i don't understand what am i for now.i'm not sure because of either the surroundings or my owns which made me more passive,depressed and uncomfortable.

i've observed myself for a while and i recognised that i hadn't a passion enough for pushing myself to be conscious and energetic perfectly as uaual. i was in trouble which i hardly went through it. i worried and feared how long can i pass this time.But what i can do for now is only observation continually.

บางความคิดเห็นทีเกิดในบางช่วงเวลา...

**ด้านล่างเป็นสองข้อคิดเห็นส่วนตัวซึ่งได้แสดงออกและแลกเปลี่ยนกับวงของเพื่อน รุ่นพี่ อาจารย์ บนพื้นที่สาธารณะออนไลน์เกี่ยวกับสถานการณ์ในช่วงสัปดาห์ของวิฤติทางการเมืองที่ผ่านมา

(แสดงความเห็นต่อข้อเขียนของ"นักวิชาการ"คนหนึ่งเกี่ยวกับวิธีการแสดงออกของความคิดทางการเมือง)
"ในฐานะที่เป็น practitioner ที่พยายามจะใช้ความรู้และสติปัญญาในการทำงานขับเคลื่อนทางสังคม ตัวเองเองมักจะมีปัญหาและมีข้อสงสัยกับการแสดงบทบาทและความคิดเห็นของกลุ่มคนที่เรียกตนเองรวมทั้งที่คนอื่นเรียกว่า "นักวิชาการ"อยู่เสมอ

ไม่ใช่ตั้งข้อสงสัยในเชิงอคติแต่อย่างใด หากแต่เป็นความพิศวงงงงวยกับสิ่งที่เรียกว่า "เหตุผล" และ "จุดยืน" ที่ถูกชูขึ้นมาในสถานการณ์ต่างๆโดยเฉพาะประเด็นทาง "การเมือง" คือตัวเองไม่แน่ใจและไม่มีความรู้เพียงพอที่จะสรุป+ตัดสินได้ว่าอันใดที่ถุกต้องหรือเหมาะสที่สุด เพียงแต่ในฐานะพลเมืองคนหนึ่งของสังคมเมื่อต้องเผชิญชะตากรรมทางการเมืองร่วมกับคนอื่นๆอีกหลายสิบล้านคน เราไม่สามารถจะเข้าใจหรือเข้าถึงทุกๆทฤษฏีทางวิชาการได้ เนื่องจากเราอาจไม่ได้มีความรู้+ไม่ได้ร่ำเรียนมา+ไม่ได้ใช้ชีวิตประจำวันขบคิดอยู่กับสิ่งเหล่านั้น ฯลฯ ดังนั้นการนำมันออกมาอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆต่อสาธารณะจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีทั้งคนเข้าใจ/ไม่เข้าใจ เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย

แต่ที่ยากยิ่งกว่านั้นคือการนำมาอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองที่สลับซับซ้อนยิ่งของสังคมไทย ฉะนั้นในความเห็นส่วนตัวคิดว่า "นักวิชาการ"ไม่ว่าจะมาจากสายไหน สถาบันใด สมาทานแนวคิดแบบใด ก็สามารถอธิบาย/เล่า/บรรยาย ปรากฏการณ์เหล่านั้นตามพื้นฐานความคิด+ความเชื่อของตนเองได้ซึ่งคนอื่นๆเลือกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ เพราะที่สุดแล้วเราทุกคนต่างก็ตัดสินบางอย่างอยู่บน "คุณค่า" ส่วนตัวทั้งสิ้น ดิฉันจึงเห็นว่าเราไม่ควรที่จะไปด่าทอ+ปิดกั้น+ลดทอน ความคิดเห็นใดๆของใคร แต่ในขณะเดียวกันควรจะส่งเสริมให้สังคมได้เรียนรู้ที่จะกลั่นกรอง+ใช้สติปัญญา+ลดอคติ+ใจกว้าง ในการรับฟังความคิดทั้งหลายมากกว่า

ที่สุดแล้วดิฉันเองก็เลือกที่จะ "เชื่อ" ความคิดเห็นบางอย่าง รวมทั้งก็อาจมีความสลดใจ+ไม่พอใจในความเห็นของ "นักวิชาการ" หลายคนในบางครั้งด้วยเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าเราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะยืนอยู่บนฐานการตัดสินที่อาจจะไม่เป็นที่พอใจของใครมากมาย ดังนั้นเมื่อเวลาเห็น"นักวิชาการ" บางคน ที่คอยด่าทอ+เกรี้ยวกราด ใส่ความคิดเห็นของคนอื่นๆอย่างรุนแรงทั้งต่อหน้า/ผ่านช่องทางสื่อ ก็รู้สึกหดหู่ใจทุกครั้ง เพราะแม้จะบอกตนเองว่าเป็นนักวิชาการก็ควรจะเคารพและให้เกียรติในการแสดงความคิดกับคนอื่นด้วยความเท่าเทียมกันมิใช่หรือ มิใช่แบกประสบการณ์+ความเชื่อของตนเองมาเต็มที่และโยนใส่ผู้อื่นอย่างไร้ความเคารพ

ดิฉันเห็นว่าเราควรสร้างพื้นที่+กระบวนการที่สร้างสรรค์และเป็นธรรมในการสื่อสารแก่ทุกคนเพราะฉะนั้นใครจะชอบหรือไม่ชอบอะไร ก็ควรสื่อสารเหตุผลของตนเองอย่างเคารพในความเห็นของคนอื่นด้วยเช่นกัน

(แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น)
"ส่วนตัวไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ที่มันเป็นอยู่ตอนนี้ จะเปิดพื้นที่ของการสื่อสารจากภายนอก ในความหมายว่าคนที่ไม่ได้เป็นเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อน้ำเงินหรือรัฐบาล สิ่งที่ตัวเองรู้สึกจากการติดตามข่าวที่ผ่านมาหลายๆวัน คือ ไม่มีความตั้งใจที่จะเจรจาใดๆทั้งสิ้น และข้อเรียกร้องต่างๆของเสื้อแดงก็มุ่งตรงไปยังรัฐบาลเท่านั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฝ่ายอื่นเลย การเจรจาจะเกิดขึ้นได้ก็ตน่าจะต้องเป็นระหวางรัฐบาลและเสื้อแดงเท่านั้น เรายังมองไม่เห็นว่า "ใคร" จะมาทำหน้าที่เป็นตัวกลางในสถานการณ์นี้ได้

อีกเรื่องที่ยังหาเหตุผลมาไขข้อข้องใจไม่ได้ คือ กลไกของรัฐขณะนี้เหตุใดจึงไม่สามารถปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองและประขาขนให้อยู่ในสภาวะมีความรู้สึกปลอดภัยได้มันล้มเหลวทั้งหมดเลยรึ ประชาชนขณะนี้ต้องอยู่แบบดูแลความปลอดภัยของตัวเองสอดส่องว่าจะออกไปไหนได้บ้าง วันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นตรงไหน จะหลบหลีกอย่างไร

และกับประเด็นเรื่องที่ว่า คนอย่างพวกเราที่อาจจะไม่ได้เป็นสีไหนเลยจะอยู่อย่างไรในสถานการณ์อย่างนี้ สำหรับเราเองคิดว่า อย่างน้อยที่สุดทื่เริ่มต้นด้วยตัวเองได้คือการพยายามติดตามข่าวสารอย่างรอบด้าน และอย่าถูกชักจูงได้ง่าย หรือพยายามวิเคราะห์สถานการณ์อย่างถี่ถ้วน เพราะเรื่องราวตอนนี้มันซับซ้อนเกินกว่าจะตัดสินจากปรากฏการณ์ที่เกิดอยู่ได้เท่านั้น มีสติให้มากที่สุดกับสถานการณ์เช่นนี้

สุดท้ายที่รู้สึกอย่างรุนแรงคือ เหตุใดไม่ว่าใครที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องในนามของความต้องการประชาธิปไตย จึงต้องใช้เครื่องมือของความรุนแรงในการทำร้ายคนอื่นๆอยู่เสมอ นั่งเฝ้าดูข่าวรายวันมาตลอด สิ่งที่เห็นจากทีวี คือ ภาพการทุบรถทำร้ายคน หน่วงเหนี่ยวคน การเข้าไปทำร้ายคนอื่นอย่างเห็นว่าไม่มีทางสู้ ภาพผู้คนที่โมโหและพร้อมปรี่เข้าไปทำร้ายคนที่ตัวเองคิดว่าเป็น "ฝ่ายตรงข้าม"ภาพเหล่านี้มันบั่นทอนจิตใจและความเชื่อเหลือเกินว่าคนเหล่านั้นต้องการประชาธิปไตย เรื่องนี้ตัวเองไม่เข้าใจจริงๆและยังหาเหตุผลที่เป็นธรรมมาอธิบายการกระทำเช่นนั้นไม่ได้ว่าจะทำไปด้วยความปรารถนาดีกับใครได้อย่างแท้จริง หดหู่ใจจริงๆ"

**จุดมุ่งหมายที่เอามาโพสต์ไว้คือต้องการเก็บทัศนะเหล่านี้ไว้เตือนตัวเองต่อไปในอนาคตด้วย:-)

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552

The Long Day Is Over



Feeling tired
By the fire
The long day is over

The wind is gone
Asleep at dawn
The embers burn on

With no reprise
The sun will rise
The long day is over

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

มิตรไมตรีไม่มีประมาณ

ความเจ็บปวดที่เธอแบกไว้ โปรดปลดมันลงจากบ่าทั้งสอง
หากไม่สามารถละทิ้งมันได้ชั่วนิรันดร์ ก็ฝากมันไว้ข้างทาง
เพื่อว่าวันหนึ่งที่เธอพร้อม กลับมาเก็บมันและปลดปล่อยทั้ง
มันและตัวเธอออกจากบ่วงรัดของกาลเวลา

หน้าที่ของมิตรภาพคือการเยียวยามวลมิตรที่พ่ายแพ้
บาดเจ็บ ท้อแท้ หลงทาง ความสุกงอมแห่งมิตรภาพ
จะช่วยเธอด้วยเรี่ยวแรงของมวลมิตรที่รายล้อมเธอไว้

อย่าเพียงคิดว่าเธออยู่บนโลกนี้คนเดียว หรือวางใจว่า
เธอสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากเหล่านั้นไป
ได้เพียงลำพัง เธออาจทำได้ก็จริง แต่เธอไม่ปรารถนา
ที่จะเรียนรู้และเปิดพื้นที่ให้มิตรภาพได้งอกงามจากการ
ปันความทุกข์เหล่านั้นไปด้วยกันหรือไร

มิตรมิได้มีไว้เพียงเพื่อแบ่งสุข หากแต่คือการโอบอุ้ม
กันและกันยามมีทุกข์ด้วยเช่นกัน เพียงแค่เธอยอมรับ
ไมตรีจิตไม่มีประมาณด้วยความไว้วางใจอย่างแท้จริง....