" the observer is the censor who does not want fear;the observer is the totality of all his experiences about fear.So the observer is seperate from the thing he calls fear;there is space between them;he is forever trying to overcome it or escape from it and hence this constant battle between himself and fear-this battle is such a waste of energy"
From "On Fear"
J Krishnamurti.
วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552
ความรู้สึกส่วนตัวขณะนี้คือเหนื่อยหน่ายกับสถานการณ์ทางการเมือง กระแสการวิพากษ์วิจารณ์ การลอบทำร้าย การแบ่งขั้ว การโยนความผิด การโป้ปด ฯลฯ อนาคตที่ยังไม่มีใครสนอีกว่าเศรษฐกิจจะพังเมื่อไหร่ และประเทศไทยจะได้รับผลกระทบแค่ไหน การทำมาหากิน+ปากท้องของคนทำงานจะสามารถอยู่รอดได้อย่างไรในภัยคุกคามที่กำลังมา
เรื่องความเป็นไปชีวิตประจำวันและผู้คนถูกกลบด้วยกระแสความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ทั้งหลายแหล่ คนที่เหลือดูเหมือนจะยอมรับชะตากรรมของตัวเองอย่างสิ้นเชิง จะเป็นอย่างไรก็ได้เพียงแค่ต้องการให้เรื่องราวทุกอย่างจบลงเสียที
ภาวะความรู้สึกแบบนี้อาจไปปิดกั้นการเรียนรู้ของคนในสังคมจากสถานการณ์ทางวการเมืองที่เกิดขึ้นได้ เราผ่านช่วงเวลาที่มีความผันผวนและปรากฏการณ์ทางการเมืองทื่เข้มข้นและรุนแรงมากในระยะเวลาสามสี่ปีที่ผ่านมา แต่เอาเข้าจริงแล้วคนในสังคมสว่นใหญ่เรียนรู้ความสลับซับซ้อนและเงื่อนปมเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด หรืออาจมองแค่เป็นเพียวสถานการณ์ๆหนึ่งเท่านั้น หากมันเกิดซ้ำอีกเราจะสามารถรับมือกับมันได้ดีขึ้นหรือไม่
เรื่องความเป็นไปชีวิตประจำวันและผู้คนถูกกลบด้วยกระแสความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ทั้งหลายแหล่ คนที่เหลือดูเหมือนจะยอมรับชะตากรรมของตัวเองอย่างสิ้นเชิง จะเป็นอย่างไรก็ได้เพียงแค่ต้องการให้เรื่องราวทุกอย่างจบลงเสียที
ภาวะความรู้สึกแบบนี้อาจไปปิดกั้นการเรียนรู้ของคนในสังคมจากสถานการณ์ทางวการเมืองที่เกิดขึ้นได้ เราผ่านช่วงเวลาที่มีความผันผวนและปรากฏการณ์ทางการเมืองทื่เข้มข้นและรุนแรงมากในระยะเวลาสามสี่ปีที่ผ่านมา แต่เอาเข้าจริงแล้วคนในสังคมสว่นใหญ่เรียนรู้ความสลับซับซ้อนและเงื่อนปมเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด หรืออาจมองแค่เป็นเพียวสถานการณ์ๆหนึ่งเท่านั้น หากมันเกิดซ้ำอีกเราจะสามารถรับมือกับมันได้ดีขึ้นหรือไม่
วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552
ในวันหยุดยาว
มันเป็นช่วงเวลาของวันหยุดที่ยาวนานมากที่สุด (เท่าที่จำความได้)นับถึงวันนี้ก็เจ็ดวันพอดี และจะต่อไปอีกสามวันที่เหลือ โอ่...สิบวันที่พี่น้องชาวไทยได้หยุดงานกัน
เราเองไม่เคยต้องอยุดงานยาวนานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มชีวิตการทำงานเพราะทำงานให้หน่วยงานราชการก็เลยต้องมีวันหยุดแบบราชการไปด้วย ซึ่งราชการของเมืองไทยน่าจะมีวันหยุดมากที่สุดแล้วละมั้ง อย่างไรก็ตามแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ "หยุดงาน" จริงๆเสียทีเดียวเพราะยังนั่งทำโน่นนี่ เคลียร์อะไรต่างๆนาๆที่พอจะทำฆ่าเวลาไปได้ มันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวนะสำหรับวันหยุดอันยาวนานที่มาโดยไม่ได้คาดหมาย
ไปที่ไหนก็เจอบรรยากาศค่อนข้างเงียบ อยู่บ้านก็เงียบเพราะบ้านรอบๆส่วนใหญ่ไปต่างจังหวัด บางวันอยู่บ้านคนเดียวยิ่งรู้สึกว่าเงียบมากขึ้น แต่แปลกนะ....เวลาที่เราอยู่กับความเงียบอย่างตั้งใจระยะเวลาหนึ่ง มันเห็นความรู้สึก ความคิดของเราเอง เยอะมาก วิ่งไปมา ทุกๆความรู้สึก นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของอารมณ์ประหลาดๆที่ผุดมาในช่วงวันสองวันนี้
วันนี้เข้ามานั่งทำงานที่ออฟฟิศ ชอบเวลาที่ไม่มีใครเยอะ ดีเหมือนกันเพราะช่วยให้มีสมาธิสำหรับการทำงานเขียนได้มากขึ้น มันเป็นโลกข้างนอกที่ไม่ได้มีใครอยู่ด้วย แต่โลกข้างในเราเองก็ยังเห็นว่ามีผู้คนเต็มไปหมดที่วนเวียนไปมาในห้วงความคิด..
เราเองไม่เคยต้องอยุดงานยาวนานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มชีวิตการทำงานเพราะทำงานให้หน่วยงานราชการก็เลยต้องมีวันหยุดแบบราชการไปด้วย ซึ่งราชการของเมืองไทยน่าจะมีวันหยุดมากที่สุดแล้วละมั้ง อย่างไรก็ตามแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ "หยุดงาน" จริงๆเสียทีเดียวเพราะยังนั่งทำโน่นนี่ เคลียร์อะไรต่างๆนาๆที่พอจะทำฆ่าเวลาไปได้ มันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวนะสำหรับวันหยุดอันยาวนานที่มาโดยไม่ได้คาดหมาย
ไปที่ไหนก็เจอบรรยากาศค่อนข้างเงียบ อยู่บ้านก็เงียบเพราะบ้านรอบๆส่วนใหญ่ไปต่างจังหวัด บางวันอยู่บ้านคนเดียวยิ่งรู้สึกว่าเงียบมากขึ้น แต่แปลกนะ....เวลาที่เราอยู่กับความเงียบอย่างตั้งใจระยะเวลาหนึ่ง มันเห็นความรู้สึก ความคิดของเราเอง เยอะมาก วิ่งไปมา ทุกๆความรู้สึก นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของอารมณ์ประหลาดๆที่ผุดมาในช่วงวันสองวันนี้
วันนี้เข้ามานั่งทำงานที่ออฟฟิศ ชอบเวลาที่ไม่มีใครเยอะ ดีเหมือนกันเพราะช่วยให้มีสมาธิสำหรับการทำงานเขียนได้มากขึ้น มันเป็นโลกข้างนอกที่ไม่ได้มีใครอยู่ด้วย แต่โลกข้างในเราเองก็ยังเห็นว่ามีผู้คนเต็มไปหมดที่วนเวียนไปมาในห้วงความคิด..
only observation
i'm a bit feeling weird with myself and i don't understand what am i for now.i'm not sure because of either the surroundings or my owns which made me more passive,depressed and uncomfortable.
i've observed myself for a while and i recognised that i hadn't a passion enough for pushing myself to be conscious and energetic perfectly as uaual. i was in trouble which i hardly went through it. i worried and feared how long can i pass this time.But what i can do for now is only observation continually.
i've observed myself for a while and i recognised that i hadn't a passion enough for pushing myself to be conscious and energetic perfectly as uaual. i was in trouble which i hardly went through it. i worried and feared how long can i pass this time.But what i can do for now is only observation continually.
บางความคิดเห็นทีเกิดในบางช่วงเวลา...
**ด้านล่างเป็นสองข้อคิดเห็นส่วนตัวซึ่งได้แสดงออกและแลกเปลี่ยนกับวงของเพื่อน รุ่นพี่ อาจารย์ บนพื้นที่สาธารณะออนไลน์เกี่ยวกับสถานการณ์ในช่วงสัปดาห์ของวิฤติทางการเมืองที่ผ่านมา
(แสดงความเห็นต่อข้อเขียนของ"นักวิชาการ"คนหนึ่งเกี่ยวกับวิธีการแสดงออกของความคิดทางการเมือง)
"ในฐานะที่เป็น practitioner ที่พยายามจะใช้ความรู้และสติปัญญาในการทำงานขับเคลื่อนทางสังคม ตัวเองเองมักจะมีปัญหาและมีข้อสงสัยกับการแสดงบทบาทและความคิดเห็นของกลุ่มคนที่เรียกตนเองรวมทั้งที่คนอื่นเรียกว่า "นักวิชาการ"อยู่เสมอ
ไม่ใช่ตั้งข้อสงสัยในเชิงอคติแต่อย่างใด หากแต่เป็นความพิศวงงงงวยกับสิ่งที่เรียกว่า "เหตุผล" และ "จุดยืน" ที่ถูกชูขึ้นมาในสถานการณ์ต่างๆโดยเฉพาะประเด็นทาง "การเมือง" คือตัวเองไม่แน่ใจและไม่มีความรู้เพียงพอที่จะสรุป+ตัดสินได้ว่าอันใดที่ถุกต้องหรือเหมาะสที่สุด เพียงแต่ในฐานะพลเมืองคนหนึ่งของสังคมเมื่อต้องเผชิญชะตากรรมทางการเมืองร่วมกับคนอื่นๆอีกหลายสิบล้านคน เราไม่สามารถจะเข้าใจหรือเข้าถึงทุกๆทฤษฏีทางวิชาการได้ เนื่องจากเราอาจไม่ได้มีความรู้+ไม่ได้ร่ำเรียนมา+ไม่ได้ใช้ชีวิตประจำวันขบคิดอยู่กับสิ่งเหล่านั้น ฯลฯ ดังนั้นการนำมันออกมาอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆต่อสาธารณะจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีทั้งคนเข้าใจ/ไม่เข้าใจ เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย
แต่ที่ยากยิ่งกว่านั้นคือการนำมาอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองที่สลับซับซ้อนยิ่งของสังคมไทย ฉะนั้นในความเห็นส่วนตัวคิดว่า "นักวิชาการ"ไม่ว่าจะมาจากสายไหน สถาบันใด สมาทานแนวคิดแบบใด ก็สามารถอธิบาย/เล่า/บรรยาย ปรากฏการณ์เหล่านั้นตามพื้นฐานความคิด+ความเชื่อของตนเองได้ซึ่งคนอื่นๆเลือกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ เพราะที่สุดแล้วเราทุกคนต่างก็ตัดสินบางอย่างอยู่บน "คุณค่า" ส่วนตัวทั้งสิ้น ดิฉันจึงเห็นว่าเราไม่ควรที่จะไปด่าทอ+ปิดกั้น+ลดทอน ความคิดเห็นใดๆของใคร แต่ในขณะเดียวกันควรจะส่งเสริมให้สังคมได้เรียนรู้ที่จะกลั่นกรอง+ใช้สติปัญญา+ลดอคติ+ใจกว้าง ในการรับฟังความคิดทั้งหลายมากกว่า
ที่สุดแล้วดิฉันเองก็เลือกที่จะ "เชื่อ" ความคิดเห็นบางอย่าง รวมทั้งก็อาจมีความสลดใจ+ไม่พอใจในความเห็นของ "นักวิชาการ" หลายคนในบางครั้งด้วยเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าเราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะยืนอยู่บนฐานการตัดสินที่อาจจะไม่เป็นที่พอใจของใครมากมาย ดังนั้นเมื่อเวลาเห็น"นักวิชาการ" บางคน ที่คอยด่าทอ+เกรี้ยวกราด ใส่ความคิดเห็นของคนอื่นๆอย่างรุนแรงทั้งต่อหน้า/ผ่านช่องทางสื่อ ก็รู้สึกหดหู่ใจทุกครั้ง เพราะแม้จะบอกตนเองว่าเป็นนักวิชาการก็ควรจะเคารพและให้เกียรติในการแสดงความคิดกับคนอื่นด้วยความเท่าเทียมกันมิใช่หรือ มิใช่แบกประสบการณ์+ความเชื่อของตนเองมาเต็มที่และโยนใส่ผู้อื่นอย่างไร้ความเคารพ
ดิฉันเห็นว่าเราควรสร้างพื้นที่+กระบวนการที่สร้างสรรค์และเป็นธรรมในการสื่อสารแก่ทุกคนเพราะฉะนั้นใครจะชอบหรือไม่ชอบอะไร ก็ควรสื่อสารเหตุผลของตนเองอย่างเคารพในความเห็นของคนอื่นด้วยเช่นกัน
(แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น)
"ส่วนตัวไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ที่มันเป็นอยู่ตอนนี้ จะเปิดพื้นที่ของการสื่อสารจากภายนอก ในความหมายว่าคนที่ไม่ได้เป็นเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อน้ำเงินหรือรัฐบาล สิ่งที่ตัวเองรู้สึกจากการติดตามข่าวที่ผ่านมาหลายๆวัน คือ ไม่มีความตั้งใจที่จะเจรจาใดๆทั้งสิ้น และข้อเรียกร้องต่างๆของเสื้อแดงก็มุ่งตรงไปยังรัฐบาลเท่านั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฝ่ายอื่นเลย การเจรจาจะเกิดขึ้นได้ก็ตน่าจะต้องเป็นระหวางรัฐบาลและเสื้อแดงเท่านั้น เรายังมองไม่เห็นว่า "ใคร" จะมาทำหน้าที่เป็นตัวกลางในสถานการณ์นี้ได้
อีกเรื่องที่ยังหาเหตุผลมาไขข้อข้องใจไม่ได้ คือ กลไกของรัฐขณะนี้เหตุใดจึงไม่สามารถปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองและประขาขนให้อยู่ในสภาวะมีความรู้สึกปลอดภัยได้มันล้มเหลวทั้งหมดเลยรึ ประชาชนขณะนี้ต้องอยู่แบบดูแลความปลอดภัยของตัวเองสอดส่องว่าจะออกไปไหนได้บ้าง วันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นตรงไหน จะหลบหลีกอย่างไร
และกับประเด็นเรื่องที่ว่า คนอย่างพวกเราที่อาจจะไม่ได้เป็นสีไหนเลยจะอยู่อย่างไรในสถานการณ์อย่างนี้ สำหรับเราเองคิดว่า อย่างน้อยที่สุดทื่เริ่มต้นด้วยตัวเองได้คือการพยายามติดตามข่าวสารอย่างรอบด้าน และอย่าถูกชักจูงได้ง่าย หรือพยายามวิเคราะห์สถานการณ์อย่างถี่ถ้วน เพราะเรื่องราวตอนนี้มันซับซ้อนเกินกว่าจะตัดสินจากปรากฏการณ์ที่เกิดอยู่ได้เท่านั้น มีสติให้มากที่สุดกับสถานการณ์เช่นนี้
สุดท้ายที่รู้สึกอย่างรุนแรงคือ เหตุใดไม่ว่าใครที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องในนามของความต้องการประชาธิปไตย จึงต้องใช้เครื่องมือของความรุนแรงในการทำร้ายคนอื่นๆอยู่เสมอ นั่งเฝ้าดูข่าวรายวันมาตลอด สิ่งที่เห็นจากทีวี คือ ภาพการทุบรถทำร้ายคน หน่วงเหนี่ยวคน การเข้าไปทำร้ายคนอื่นอย่างเห็นว่าไม่มีทางสู้ ภาพผู้คนที่โมโหและพร้อมปรี่เข้าไปทำร้ายคนที่ตัวเองคิดว่าเป็น "ฝ่ายตรงข้าม"ภาพเหล่านี้มันบั่นทอนจิตใจและความเชื่อเหลือเกินว่าคนเหล่านั้นต้องการประชาธิปไตย เรื่องนี้ตัวเองไม่เข้าใจจริงๆและยังหาเหตุผลที่เป็นธรรมมาอธิบายการกระทำเช่นนั้นไม่ได้ว่าจะทำไปด้วยความปรารถนาดีกับใครได้อย่างแท้จริง หดหู่ใจจริงๆ"
**จุดมุ่งหมายที่เอามาโพสต์ไว้คือต้องการเก็บทัศนะเหล่านี้ไว้เตือนตัวเองต่อไปในอนาคตด้วย:-)
(แสดงความเห็นต่อข้อเขียนของ"นักวิชาการ"คนหนึ่งเกี่ยวกับวิธีการแสดงออกของความคิดทางการเมือง)
"ในฐานะที่เป็น practitioner ที่พยายามจะใช้ความรู้และสติปัญญาในการทำงานขับเคลื่อนทางสังคม ตัวเองเองมักจะมีปัญหาและมีข้อสงสัยกับการแสดงบทบาทและความคิดเห็นของกลุ่มคนที่เรียกตนเองรวมทั้งที่คนอื่นเรียกว่า "นักวิชาการ"อยู่เสมอ
ไม่ใช่ตั้งข้อสงสัยในเชิงอคติแต่อย่างใด หากแต่เป็นความพิศวงงงงวยกับสิ่งที่เรียกว่า "เหตุผล" และ "จุดยืน" ที่ถูกชูขึ้นมาในสถานการณ์ต่างๆโดยเฉพาะประเด็นทาง "การเมือง" คือตัวเองไม่แน่ใจและไม่มีความรู้เพียงพอที่จะสรุป+ตัดสินได้ว่าอันใดที่ถุกต้องหรือเหมาะสที่สุด เพียงแต่ในฐานะพลเมืองคนหนึ่งของสังคมเมื่อต้องเผชิญชะตากรรมทางการเมืองร่วมกับคนอื่นๆอีกหลายสิบล้านคน เราไม่สามารถจะเข้าใจหรือเข้าถึงทุกๆทฤษฏีทางวิชาการได้ เนื่องจากเราอาจไม่ได้มีความรู้+ไม่ได้ร่ำเรียนมา+ไม่ได้ใช้ชีวิตประจำวันขบคิดอยู่กับสิ่งเหล่านั้น ฯลฯ ดังนั้นการนำมันออกมาอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆต่อสาธารณะจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีทั้งคนเข้าใจ/ไม่เข้าใจ เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย
แต่ที่ยากยิ่งกว่านั้นคือการนำมาอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองที่สลับซับซ้อนยิ่งของสังคมไทย ฉะนั้นในความเห็นส่วนตัวคิดว่า "นักวิชาการ"ไม่ว่าจะมาจากสายไหน สถาบันใด สมาทานแนวคิดแบบใด ก็สามารถอธิบาย/เล่า/บรรยาย ปรากฏการณ์เหล่านั้นตามพื้นฐานความคิด+ความเชื่อของตนเองได้ซึ่งคนอื่นๆเลือกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ เพราะที่สุดแล้วเราทุกคนต่างก็ตัดสินบางอย่างอยู่บน "คุณค่า" ส่วนตัวทั้งสิ้น ดิฉันจึงเห็นว่าเราไม่ควรที่จะไปด่าทอ+ปิดกั้น+ลดทอน ความคิดเห็นใดๆของใคร แต่ในขณะเดียวกันควรจะส่งเสริมให้สังคมได้เรียนรู้ที่จะกลั่นกรอง+ใช้สติปัญญา+ลดอคติ+ใจกว้าง ในการรับฟังความคิดทั้งหลายมากกว่า
ที่สุดแล้วดิฉันเองก็เลือกที่จะ "เชื่อ" ความคิดเห็นบางอย่าง รวมทั้งก็อาจมีความสลดใจ+ไม่พอใจในความเห็นของ "นักวิชาการ" หลายคนในบางครั้งด้วยเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าเราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะยืนอยู่บนฐานการตัดสินที่อาจจะไม่เป็นที่พอใจของใครมากมาย ดังนั้นเมื่อเวลาเห็น"นักวิชาการ" บางคน ที่คอยด่าทอ+เกรี้ยวกราด ใส่ความคิดเห็นของคนอื่นๆอย่างรุนแรงทั้งต่อหน้า/ผ่านช่องทางสื่อ ก็รู้สึกหดหู่ใจทุกครั้ง เพราะแม้จะบอกตนเองว่าเป็นนักวิชาการก็ควรจะเคารพและให้เกียรติในการแสดงความคิดกับคนอื่นด้วยความเท่าเทียมกันมิใช่หรือ มิใช่แบกประสบการณ์+ความเชื่อของตนเองมาเต็มที่และโยนใส่ผู้อื่นอย่างไร้ความเคารพ
ดิฉันเห็นว่าเราควรสร้างพื้นที่+กระบวนการที่สร้างสรรค์และเป็นธรรมในการสื่อสารแก่ทุกคนเพราะฉะนั้นใครจะชอบหรือไม่ชอบอะไร ก็ควรสื่อสารเหตุผลของตนเองอย่างเคารพในความเห็นของคนอื่นด้วยเช่นกัน
(แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น)
"ส่วนตัวไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ที่มันเป็นอยู่ตอนนี้ จะเปิดพื้นที่ของการสื่อสารจากภายนอก ในความหมายว่าคนที่ไม่ได้เป็นเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อน้ำเงินหรือรัฐบาล สิ่งที่ตัวเองรู้สึกจากการติดตามข่าวที่ผ่านมาหลายๆวัน คือ ไม่มีความตั้งใจที่จะเจรจาใดๆทั้งสิ้น และข้อเรียกร้องต่างๆของเสื้อแดงก็มุ่งตรงไปยังรัฐบาลเท่านั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฝ่ายอื่นเลย การเจรจาจะเกิดขึ้นได้ก็ตน่าจะต้องเป็นระหวางรัฐบาลและเสื้อแดงเท่านั้น เรายังมองไม่เห็นว่า "ใคร" จะมาทำหน้าที่เป็นตัวกลางในสถานการณ์นี้ได้
อีกเรื่องที่ยังหาเหตุผลมาไขข้อข้องใจไม่ได้ คือ กลไกของรัฐขณะนี้เหตุใดจึงไม่สามารถปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองและประขาขนให้อยู่ในสภาวะมีความรู้สึกปลอดภัยได้มันล้มเหลวทั้งหมดเลยรึ ประชาชนขณะนี้ต้องอยู่แบบดูแลความปลอดภัยของตัวเองสอดส่องว่าจะออกไปไหนได้บ้าง วันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นตรงไหน จะหลบหลีกอย่างไร
และกับประเด็นเรื่องที่ว่า คนอย่างพวกเราที่อาจจะไม่ได้เป็นสีไหนเลยจะอยู่อย่างไรในสถานการณ์อย่างนี้ สำหรับเราเองคิดว่า อย่างน้อยที่สุดทื่เริ่มต้นด้วยตัวเองได้คือการพยายามติดตามข่าวสารอย่างรอบด้าน และอย่าถูกชักจูงได้ง่าย หรือพยายามวิเคราะห์สถานการณ์อย่างถี่ถ้วน เพราะเรื่องราวตอนนี้มันซับซ้อนเกินกว่าจะตัดสินจากปรากฏการณ์ที่เกิดอยู่ได้เท่านั้น มีสติให้มากที่สุดกับสถานการณ์เช่นนี้
สุดท้ายที่รู้สึกอย่างรุนแรงคือ เหตุใดไม่ว่าใครที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องในนามของความต้องการประชาธิปไตย จึงต้องใช้เครื่องมือของความรุนแรงในการทำร้ายคนอื่นๆอยู่เสมอ นั่งเฝ้าดูข่าวรายวันมาตลอด สิ่งที่เห็นจากทีวี คือ ภาพการทุบรถทำร้ายคน หน่วงเหนี่ยวคน การเข้าไปทำร้ายคนอื่นอย่างเห็นว่าไม่มีทางสู้ ภาพผู้คนที่โมโหและพร้อมปรี่เข้าไปทำร้ายคนที่ตัวเองคิดว่าเป็น "ฝ่ายตรงข้าม"ภาพเหล่านี้มันบั่นทอนจิตใจและความเชื่อเหลือเกินว่าคนเหล่านั้นต้องการประชาธิปไตย เรื่องนี้ตัวเองไม่เข้าใจจริงๆและยังหาเหตุผลที่เป็นธรรมมาอธิบายการกระทำเช่นนั้นไม่ได้ว่าจะทำไปด้วยความปรารถนาดีกับใครได้อย่างแท้จริง หดหู่ใจจริงๆ"
**จุดมุ่งหมายที่เอามาโพสต์ไว้คือต้องการเก็บทัศนะเหล่านี้ไว้เตือนตัวเองต่อไปในอนาคตด้วย:-)
วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552
มิตรไมตรีไม่มีประมาณ
ความเจ็บปวดที่เธอแบกไว้ โปรดปลดมันลงจากบ่าทั้งสอง
หากไม่สามารถละทิ้งมันได้ชั่วนิรันดร์ ก็ฝากมันไว้ข้างทาง
เพื่อว่าวันหนึ่งที่เธอพร้อม กลับมาเก็บมันและปลดปล่อยทั้ง
มันและตัวเธอออกจากบ่วงรัดของกาลเวลา
หน้าที่ของมิตรภาพคือการเยียวยามวลมิตรที่พ่ายแพ้
บาดเจ็บ ท้อแท้ หลงทาง ความสุกงอมแห่งมิตรภาพ
จะช่วยเธอด้วยเรี่ยวแรงของมวลมิตรที่รายล้อมเธอไว้
อย่าเพียงคิดว่าเธออยู่บนโลกนี้คนเดียว หรือวางใจว่า
เธอสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากเหล่านั้นไป
ได้เพียงลำพัง เธออาจทำได้ก็จริง แต่เธอไม่ปรารถนา
ที่จะเรียนรู้และเปิดพื้นที่ให้มิตรภาพได้งอกงามจากการ
ปันความทุกข์เหล่านั้นไปด้วยกันหรือไร
มิตรมิได้มีไว้เพียงเพื่อแบ่งสุข หากแต่คือการโอบอุ้ม
กันและกันยามมีทุกข์ด้วยเช่นกัน เพียงแค่เธอยอมรับ
ไมตรีจิตไม่มีประมาณด้วยความไว้วางใจอย่างแท้จริง....
หากไม่สามารถละทิ้งมันได้ชั่วนิรันดร์ ก็ฝากมันไว้ข้างทาง
เพื่อว่าวันหนึ่งที่เธอพร้อม กลับมาเก็บมันและปลดปล่อยทั้ง
มันและตัวเธอออกจากบ่วงรัดของกาลเวลา
หน้าที่ของมิตรภาพคือการเยียวยามวลมิตรที่พ่ายแพ้
บาดเจ็บ ท้อแท้ หลงทาง ความสุกงอมแห่งมิตรภาพ
จะช่วยเธอด้วยเรี่ยวแรงของมวลมิตรที่รายล้อมเธอไว้
อย่าเพียงคิดว่าเธออยู่บนโลกนี้คนเดียว หรือวางใจว่า
เธอสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากเหล่านั้นไป
ได้เพียงลำพัง เธออาจทำได้ก็จริง แต่เธอไม่ปรารถนา
ที่จะเรียนรู้และเปิดพื้นที่ให้มิตรภาพได้งอกงามจากการ
ปันความทุกข์เหล่านั้นไปด้วยกันหรือไร
มิตรมิได้มีไว้เพียงเพื่อแบ่งสุข หากแต่คือการโอบอุ้ม
กันและกันยามมีทุกข์ด้วยเช่นกัน เพียงแค่เธอยอมรับ
ไมตรีจิตไม่มีประมาณด้วยความไว้วางใจอย่างแท้จริง....
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)