วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Chasing Pirates



In your message you said, you were goin' to bed, but I'm not done with the night.
So I stayed up and read, but your words in my head, got me mixed up so I turned out the light.

And I, don't know how, to slow it down.
Oh,my mind's racing from chasing pirates.

Well the man in there swings while the silliest things, floppin around in my brain.
And I try not to dream but them possible schemes, swim around, wanna drown me in synch.

And I, don't know how, to slow it down.

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รู้ตัว


เมื่อวันที่รู้สึก "สุข" ขอจดจำความรู้สึกนั้นไว้ให้ดี
เมื่อวันที่รู้สึก "ทุกข์" ขอให้จดจำความรู้สึกนั้นไว้ให้ดี
เพราะเมื่อต้องกลับมาเจอกับทั้ง สุข และ ทุกข์ อีกจะำำได้เข้าใจและยอมรับได้ว่า
สองสิ่งนั้นมันอยู่ หายไป กลับมา เป็นเช่นนั้นเสมอ

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทบทวน

ช่วงเวลานี้ของชีวิต รู้สึกไม่ค่อยอยากพบปะกับใครมากนัก บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไร คล้ายๆว่าไม่รู้จะสนทนาอะไรหรือทำกิจกรรมอะไรร่วมกัน ส่วนมากพอมีเวลาว่างจึงเลือกที่จะไปไหนโดยลำพังมากกว่า รู้สึกว่าัตัวเองต้องการความเงียบและสงบข้างใน รู้สึกว่ากำลังพยายามใคร่ครวญหลายสิ่งในชีิวิต ปรับโฟกัส เรียกสติและความรู้เนื้อรู้ตัว ค่อนข้างมองเห็นตัวเองในช่วงที่อยู่กับผู้คนเยอะๆ สื่อสารออกนอกตัวเองมาก มันไม่ได้มีเวลาเข้าใจสิ่งที่ตัวเองสือสารออกไปมากนัก ฉะนั้นพอได้ความสงบภายในมากขึ้นจึงค่อยๆเรียบเรียงภาวะขุ่นมัวข้างในได้ยิ่งขึ้นด้วย

การทำงานใหม่ช่วงปีกว่าที่ผ่านมา ทำให้ห่างไกลจากระบวนการพัฒนาด้านในไปมาก ห่างจากกลุ่มกัลยาณมิตรที่เคยเป็นเพื่อนร่วมทางฝึกฝนและพัฒนาภาวะภายใน ห่างจากการสนทนาอย่างลึกซึ้ง พร้อมกับที่เราต้องกระโจนออกไปผจญภัยในเส้นทางใหม่ ต้องทำความรู้จักและยอมรับเงื่อนไขใหม่ๆในชีวิตที่ประดังประเดเข้ามาไม่หยุดหย่อน ซึ่งเราต้องขอบคุณการฝึกฝนก่อนหน้านั้นที่พอจะเป็นภูมิคุ้มใจให้เราผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากไปได้ เวลาผ่านไปเร็วเสียจริง รับรู้อีกทีก็พ้นไปอีกเกือบปี ยังคงเตรียมตัวรับมือกับสิ่งท้าทายใหม่ที่จะเข้ามา โดยเฉพาะกับตัวเอง ที่เป็นสิ่งท้าทายมากที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

The Rose - Aoi Teshima


Some say love it is a river
that drowns the tender reed
Some say love it is a razer
that leaves your soul to blead

Some say love it is a hunger
an endless aching need
I say love it is a flower
and you it's only seed

It's the heart afraid of breaking
that never learns to dance
It's the dream afraid of wakingthat never takes the chance
It's the one who won't be taken
who cannot seem to give
and the soul afraid of dyingthat never learns to live

When the night has been too lonely
and the road has been too long
and you think that love is only
for the lucky and the strong
Just remember in the winterfar beneath the bitter snows
lies the seed
that with the sun's love
in the spring
becomes the rose

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เป็นเช่นนี้เอง

เลือนลางกับสถานการณ์ ความเป็นจริง ความรู้สึก เริ่มสงสัยว่าสิ่งเคยเกิดขึ้นมันเคยเกิดขึ้นจริงหรือ ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อวันหนึ่งมันเคยแจ่มชัดเสียจนเราสงสัยว่ามันช่างมากมายเกินไป แต่พอถึงวันนี้ข้อสงสัยกลับยังคงอยู่แต่เป็นว่าทำไมมันถึงเบาบาง คล้ายนุ่นที่พร้อมจะลอยไปไกล เพียงแค่ลมหายใจกระทบ

มันคงมีความจริงบางอย่างอยู่ระหว่างความสงสัยนั้น มันคงเคยมีอยู่ และก็อาจจริงที่ว่ามันหายไป อะไรบางอย่างระหว่างบรรทัด ไม่อาจตีความได้ และเก็บเอามาเป็นข้อเท็จจริงก็ไม่ได้เช่นกัน เท่าที่ความทรงจำสามารถทำได้คือร่องรอยของความสุขและความทุกข์ซึ่งเมื่อชั่งดูแล้วพบว่าเท่าๆกัน เมื่อวันมีความสุขแทบไม่เคยรู้ตัวว่ามีความสุข แต่เมื่อมีความทุกข์ ทุกข์นั้นช่างหนักหนา จนอยากหายวับไปในบัดดล

มันก็แค่นี้เอง ค่อยๆจางหายไปทีละน้อย ที่ละน้อย ภาระความทรงจำที่ถูกแบกไว้มานาน เริ่มหล่นหายไปตามระยะเวลาของการเดินทาง ยิ่งยาวนานมากเท่าไหร่ ก็เหลือน้อยลงทุกที เบาบางจนแทบไม่รู้สึกถึงอะไรอีกต่อไป มันเป็นเช่นนั้น ช่วงเวลาแบบนั้นที่เราเคยสงสัยว่ามันจะเป็นอย่้างไร มันเป็นเช่นนี้เอง


วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จัดระเบียบภาวะว้าวุ่น

หากจะบอกว่าฤดูกาล อากาศ สภาพแวดล้อม เปลี่ยนแปลงแล้วจะไม่ทำให้อะไร/ใครเปลี่ยนไปเลย คงไม่ทั้งหมดแน่ กระทั่งคนดื้อรั้นอย่างเราเองยังรู้สึกเบิกบานขึ้นมาโดยอัตโนมัตเมื่ออากาศเริ่มเย็นขึ้น บรรยากาศสภาพแวดล้อมสดชื่น ก็ทำให้เรารู้สึกอารมณ์ดี และเบิกบานไปด้วย แม้จะรู้ว่าไม่ควรไปติดกับภายนอกให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภายในเรามากนัก แต่เมื่ออยู่ในภาวะที่ต้องการปัจจัย/ตัวช่วย หนักๆเข้ามาช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ หรือช่วยเกื้อหนุนให้เราอยู่ในสภาพที่พร้อมกับการรับมือกับ "เรื่องร้อน" รอบตัว มันก็ดีขึ้นมากทีเดียว

ช่วงระยะ 2-3 เดือนที่ผ่านมา จิตใจมักล่องลอย ฟุ้งไปไกลอยู่เสมอ ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว คิดโน่นนี่ จินตนาการถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไปเรื่อย มากจนกระทั่งมันทำให้เรารู้สึกตัวได้ว่าเยอะไปแล้ว ต้องเรียกสติกลับมาอยู่เสมอ เมื่อรู้สึกตัวว่าชักจะคิดไปไกลจากความเป็นจริงที่เป็น เลยจำเป็นต้องหาวิธีการเข้ามาช่วยสร้างระเบียบให้กับสติและอารมณ์ภายใน เรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นคือ การสวดมนต์ ใช้กลางคืนก่อนนอน เพราะภาวะก่อนนอนหลับนี่ตัวดีเลย ขณะเมื่อล้มตัวลงนอนและยังไม่หลับ จิตใจเรามักลอยไปไกล หากวัดระยะทางคงออกไปนอกโลกหรืออยู่บนคาวเคราะห์อื่นแล้ว (^-^) การได้สวดมนต์ยาวแบบทำวัตรเย็น (บทแปล) ช่วยเรียกสติ จัดระเบียบให้มันอยู่้ในที่ทาง ก่อนนอน เพราะยิ่งลอยฟุ้งก็ยิ่งนอนหลับยากมากขึ้นทุกที

ในชีวิตประจำวันตอนนี้พยายามหาเครื่องมือมาช่วยจัดระเบียบวินัยในชีวิตทั้งด้านนอกและด้านใน ด้านนอกนั้นยิ่งจำเป็นเพราะงานแต่ละวันนั้นมากมาย อีกทั้งต้องปะทะสังสรรค์กับผู้คนอีกเยอะด้วยแล้ว หากไม่มีวินัยที่ดีพอยิ่งจะทำให้ปั่นป่วน เป็นทุกข์ได้ หากงานด้านนอกเป็นเระเบียบระดับหนึ่งแล้ว จะช่วยให้ชีวิตด้านในโปร่ง เบา ขึ้นไปได้มาก ซึ่งหลังจากนั้นการทำงานกับสติและภาวะอารมณ์ด้านในก็จะง่ายและราบรื่นยิ่งขึ้น

นี่เป็นการเขียนเพื่อเตือนความจำของตัวเองเอาไว้ เพื่อให้เป็นหลักฐาน เพื่อให้ระลึึกได้ว่า ยามที่ว้าวุ่น เราผ่านมันมาได้อย่างไร เพราะคนเรามักหลงลืมอะไรบางอย่างได้เสมอ

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เล่าเรื่องเมลเบิร์น (ต่อ 2)

เมื่อกลับจากพัฟฟิ่ง บิลลี่ ทริป รู้สึกติดใจการได้ออกไปเที่ยวนอกเมืองเมลเบิร์นมาก มีกิจกรรมอะไรให้ทำเยอะแยะไปหมด อีกทั้งมีสีสันที่แตกต่างจากในตัวเมืองมากทีเดียว ก็เลยได้แต่ตั้งตารอคอยอีกทริปหนึ่งที่เราและเพื่อนจันได้จองเอาไว้คือ Great Ocean Road ซึ่งพอได้เห็นรูปสถานที่ที่จะได้ไป ก็ยิ่งทำให้ตื่นเต้นมากขึ้น

สำหรับ เกรท โอเชี่ยน โรด เราไปเจอกับคณะทัวร์ที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่งแถวๆสถานีรถไฟ Flinder Street ในเมืองแต่เช้าตรู่ การเดินทางวันนี้เราไปเป็นกลุ่มเล็กๆ มีกันประมาณ 20 คนไกด์ที่นำทางเราทำเอาทึ่งเพราะเขาทำทุกอย่างตลอดทริปจริงๆ ทั้งขับรถ อธิบาย บรรยายสถานที่ต่างๆ ให้ความรู้เชิประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เปิดเพลงให้เข้าบรรยากาศการเดินทาง สอดแทรกมุขขำขัน ให้ืทุกคนไม่เบื่อระหว่างเดินทาง ฯลฯ สามารถรอบด้าน คุยไปมาจึงได้รู้ว่าเขายังเป็น นศ ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเดียวกับเพื่อนจันของเรา ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกัน เขาสนใจการเดินทางและท่องเที่ยวเลยหยุดการเรียนมาเพื่อเป็นไกด์สำหรับ eco tour แต่กำลังจะกลับไปเรียนในเทอมที่จะถึงนี้

จุดแรกที่เราแวะคือชายหาดสำหรับการเล่นเซิร์ฟบอร์ดอยู่ในเมืองที่เป็นต้นกำเนิดของผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับเล่นเซิร์ฟที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกคือ Rip Curl และ Biilabong แม้ว่าวันที่ไปจะอากาศหนาวและลมพัดแรงแต่ก็ยังมีจัดแข่งขันเซิร์ฟพอให้เห็นอยู่ จากนั้นเราไปต่อแถบบริเวณที่หมีโคอาล่าอาศัย พวกเราพยายามกันมากที่จะสอดส่ายสายตามองหาโคอาล่า แต่ยากที่จะเห็นในระยะใกล้ เจ้าหมีเกาะอยู่บนต้นไม้สูงๆ ต้องเล็งกล้องและซูมกันสุดๆ จึงจะได้รูปเจ้าโคอาล่า แต่เรืองบังเอิญก็เกิดขึ้นระหว่างที่เราอยู่บนรถออกจากสถานที่นั้น อยู่ๆก็มีโคอาล่าเดินตัดหน้ารถ ไกด์เราเบรกแทบไม่ทัน เราเลยได้เห็นโคอาล่าเยื้องย่าง เอื่อยเฉื่อย ในระยะประชิด ตื่นเต้นกันใหญ่คณะทัวร์ของเรา

อีกหลายจุดที่เราแวะต่อมา สร้างความรู้สึกหัวใจพองโตด้วยได้สัมผัสความยิ่งใหญ่และความสวยงามของธรรมชาติ ออสเตรเลียเป็นทั้งประเทศและทวีป ความใหญ่โตของภูมิประเทศ และ ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศแสดงให้เราเห็นทุกที่ที่เราไปเยือน ไม่ว่าจะเป็นป่าฝน Rainforest Veteran , หินยักษ์หลายแท่งที่ถูกเสาะกร่อนกลางทะเลซึ่งเรียกว่า Twelves Apostles, Loch Ard George ซึ่งเป็นแนวหินขนาดใหญ่ที่ Port Cambell National Park และที่สุดท้าย London Bridge ซึ่งเป็นแนวหินที่เดิมมีรูปทรงคล้ายสะพาน แต่ถูกพายุและน้ำทะเลเสาะกร่อนจนขาดออกจากกัน ทั้งหมดเ็ป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่สร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา

ทริปของเราจบลงที่ ลอนดอน บริดจ์ พร้อมๆกับแสงอาทิตย์ยามเย็นที่สวยงาม เราพกพาเอาภาพงดงามนั้นกลับมาด้วยและมันคงเป็นภาพพิมพ์ใจไปอีกนาน