วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เด็กชายเลขที่34


เมื่อคืนนอนเล่นอ่านหนังสือเล่มนี้จบรวดเดียว แรกเริ่มซื้อหนังสือเล่มนี้ด้วยเพราะคนแปล คือ คุณเบียร์ อนุรักษ์ กิจไพบูลย์ทวี ที่เราชื่นชอบและติดตามอ่านงานแปลจากนักเขียนจีนมาหลายเล่ม พอเห็นหนังสือภาพเล่มนี้ก็เลยไม่คิดอะไรมาหยิบ ซื้อทันที "เด็กชายเลขที่ 34" วาดภาพและเขียนโดย เอินจั่ว (Enzo) นักเขียนชาวไต้หวัน เป็นหนังสือภาพประกอบเรื่องที่เล่าเกี่ยวกับการ เติบโตของเด็กชาย ชั้นปอ 1 เลขที่ 34 ที่ในสายตาของทุกคนเขาคือเด็กเกเร ไม่ตั้งใจ สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัว แต่สิ่งที่เด็กชายต้องการมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคืออิสรภาพในการใช้ชีวิต หนังสือเล่าสถานการณ์ต่างๆที่เขาเจอทั้งที่บ้านและโรงเรียน มุมมองของเขาที่มีต่อเพื่อน ครู พ่อ แม่ และการเปลี่ยนแปลงความคิดและตัวเองจนกระทั่งโต อ่านจบแล้วอบอุ่นและกระตุ้นการตั้งคำถามต่อชีวิตและความฝันของตัวเองอย่างมาก อยากให้หามาอ่านกันนะคะ

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เชียงคาน ต้นฤดูฝน






ในที่สุดก็ไปถึงเมืองเล็กในดวงใจ "เชียงคาน" อยู่ในจังหวัดเลยชายแดนไทย-ลาว เชียงคานเป็นเมืองเล็กๆ (จริง) เงียบสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน แม้ว่าจะเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาจากหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่วันนี้ของเชียงคานยังคงไม่รกรุงรัง อึกทึก เหมือนบางเมืองที่กลายสภาพไปเป็นเมืองท่องเที่ยวอยางสมบูรณ์

สิ่งที่ดีที่สุดเมื่ออยู่เชียงคานคือการทำทุกอย่างช้าลง เพราะจังหวะเมืองและผู้คนที่นี่ไม่เร่งร้อน จึงทำให้เราพลอยได้ซึมซับความช้าไปด้วย เดินเล่น ขี่จักรยาน อ่านหนังสือ ดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ริมโขง คุยกับผู้คน เป็นเสน่ห์ของการอยู่เชียงคาน เราสามารถจะเดินเข้าไปคุยกับใครก็ได้ที่พบ ผู้คนดูเหมือนำพร้อมจะคุยและแนะนำสิ่งดีดีให้กับเราเสมอ

บรรยากาศต้นฤดูฝน มีฝนตกลงมาเป็นบางช่วง พอให้อากาศเย็นลง แม่น้ำโขงแม้จะแห้งเหือดลงไปบาง แต่เสน่ห์ก็ยังไม่เสื่อมคลาย ภาพเรือน้อย ใหญ่ ที่ทั้งแล่นไปมา หรือจอดอยู่ริมฝั่ง ทำให้องค์ประกอบภาพของแม่น้ำโขงสมบูรณ์แบบ

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

เตรียมพร้อมอยู่เสมอ

เมื่อต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาในชีวิต เป็นความท้าทายอย่างยิ่งไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกี่ยวข้องกับเราโดยตรงหรือโดยอ้อม ที่น่าห่วงใยที่สุดคือภาวะภายในของตัวเราเองซึ่งโดยมากมักพร้อมโบยบินไปกับกระแสลมที่เชี่ยวกราดที่พัดเขามาปะทะได้เสมอ และเราก็ห้อยโหนไปกับสภาพเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันหนึ่งเมื่อรู้ตัวว่าความสุขและทุกข์เหล่านั้นเข้ามาและจากไปบ่อยเหลือเกิน แต่จิตใจและร่างกายของเราที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเริ่มถูกกัดกร่อนมากขึ้นทุกทีๆคงไม่ไหวหากจะปล่อยไปตามยถากรรมเยี่ยงนี้

ความเชื่อมโยงและมูลเหตุความสัมพันธ์ลักษณะนี้เป็นสิ่งปกติที่เราสังเกตุเห็นได้จริงหากเกิด "ตระัหนักรู้" และมี "สติ" เราจะมองเห็นปรากฏการณ์เช่นนั้นที่เกิดในชีวิตของเราอยู่ตลอดชั่วนาตาปี แต่ก็ไม่ง่ายเช่นกันกว่าเราจะถึงจุดที่มองเห็นและเข้าใจสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเราเองดังนั้นภาวะที่เราจะมองเห็นความทุข์และสุขของเราเองอย่างเป็นสังสารวัฏจึงมักมาพร้อมกับการเกิดทุกข์ใหญ่เสียมาก เมื่อเผชิญทุกข์หนักหนา (ในบริบทเฉพาะตัวของตนเอง) เราจึงเริ่มหาทางเข้าใจทุกข์และออกจากทุกข์นั้น

ภาวะความเข้าใจเหล่านั้นต้องเกิดจากวิถีของตัวเองโดยปราศจากอคติและประสบการณ์เดิมให้มากที่สุด รวมทั้งตระหนักว่าวิธีการเผชิญและคลี่คลายปํญหาไม่ว่าจะข้างนอกหรือข้างในล้วนแล้วแต่ต้องการการเตรียมความพร้อมที่ดี มิใช่ว่าภาวะของสติและปัญญาจะมาได้ทันทีดังใจนึกโดยเฉพาะเมื่อนัวเนียอยู่ในภาวะปัญหาต่างๆ ต้องเตรียมพร้อมทั้งกายและใจอยู่เสมอ

วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

500 Days of Summer


This is a story of boy meets girl. An ordinary situation which can happen anytime. Love sometimes has been romanticized over abundantly - faith, soul mate, destiny - and then everything goes worst. We should understand, it is not a love story !

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

Be yourself, Graham Nash

How does it feel
When life doesn't seem real
And you're floating about on your own
Your life is uncertainty
So you draw the curtain
Pretending there's nobody home

Don't theorize
Look in your eyes
They can't tell lies
Though you may disguise what you see
The mirror is free

We once had a savior
But by our behavior
The one that was worth it is gone
Song birds are talking
And runners are walking
A prodigal son's coming home

Don't theorize
Look in his eyes
They won't tell lies
But if he defies what you see
He'll give you a key

Be yourself
Be yourself
Be yourself
Be yourself

We needed a tutor
So built a computer
And programmed ourselves not to see
The truth and the lying
The dead and the dying
A silent majority

Don't theorize
Look in their eyes
Are they telling lies
The ones that they learn on T.V.
What a way to be free

Be yourself
Be yourself

Then you can free yourself
Free yourself
See yourself
Then you can see yourself
Come on and see yourself
See yourself

LoVELY SuNdAY






เป็นวันที่แสงแดดจัดจ้าน อากาศร้อนได้อีก แต่วันอาทิตย์นี้ก็ไม่ธรรมดาอีกต่อไป เหล่าเด็กน้อย (จริงๆ) พร้อมใจกันมาช่้วย เย็บตุ๊กตาหุ่นมือ เป็นกิจกรรมเล็กๆร่วมกัน ในครอบครัวที่พ่อแม่ได้ช่วยกันทำไปด้วย บรรยากาศน่ารักและอบอุ่น

วันนี้รู้สึกเบิกบานใจ สนุก มีความสุขที่ได้ทำงานที่ไม่ต้องสมองคิดอะไรมากมาย ได้ใช้มือและร่างกาย
ทำตุ๊กตาประหลาดๆออกมา ช่วยเด็กน้อยจินตานาการว่า ช้าง ลิง หมี ของพวกเขาจะทำออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร ได้คุย หัวเราะ และกอด พวกเขา ให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆ

นอกจากนั้นวันนี้เรายังมีบทสนทนาที่วิเศษเกี่ยวกับหนังสือดีดี หนังดีดี มากมาย รู้จักหนังสือและหนังแปลกใหม่หลายเรื่อง การได้คุยกันในบรรยากาศใหม่ๆ ทำให้เรามีบทสนทนาใหม่ๆระหว่างกันด้วย อีกทั้งการได้อยู่รายล้อมด้วยครอบครัวที่น่ารัก ช่วยทำให้บรรยากาศยื่งชื่นมื่น

รู้สึกดีและมีความสุขในวันอาทิตย์ที่ไม่ธรรมดาแบบนี้ :)

วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

Now,must we not be alone?


Now, must we not be alone? At present we are not alone - we are merely a bundle of influences. We are the result of all kinds of influences - social, religious, economic. hereditary, climatic. Through all those influences, we try to find something beyond; and if we cannot find it, we invent it, and cling to our inventions. But when we understand the whole process of influence at all the different levels of our consciousness, then, by becoming free of it, there is an aloneness which is uninfluenced; that is, the mind and heart are no longer shaped by outward events or inward experiences. It is only when there is this aloneness that there is a possibility of finding the real. But a mind that is merely isolating itself through fear, can have only anguish; and such a mind can never go beyond itself. With most of us, the difficulty is that we are unaware of our escapes.

We are so conditioned, so accustomed to our escapes, that we take them as realities. But if we will look more deeply into our selves, we will see how extraordinarily lonely, how extraordinarily empty we are under the superficial covering of our escapes. Being aware of that emptiness, we are constantly covering it up with various activities, whether artistic, social, religious or political. But emptiness can never finally be covered: it must be understood. To understand it, we must be aware of these escapes; and when we understand the escapes, then we shall be able to face our emptiness. Then we shall see that the emptiness is not different from ourselves, that the observer is the observed. In that experience, in that integration of the thinker and the thought, this loneliness, this anguish, disappears.

The Collected Works Vol. IX Paris 5th Public Talk 7th May 1950
JKrishnamurti