วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ณ เช้า 31 ธันวา

วันนี้ตั้งใจจะตื่นสายเพื่อนอนชดเชยทุกๆวันที่ต้องตื่นแต่ไก่โห่ แต่อย่างไรไม่ทราบสะดุ้งตื่นอัตโนมัตประมาณเกือบๆเจ็ดโมงเช้าหลังจากนั้นก็ไม่สามารถนอนได้อีกต่อไป เลยไ่ด้ลุกขึ้นมานั่งหาสติและสังเกตความเงียบรอบๆตัวยามเช้า โดยปกติตอนเช้าของทุกวันไม่เคยได้มีเวลามานั่งดื่มด่ำกับสิ่งรอบตัว เพราะต้องรีบตื่น อาบน้ำ ออกจากบ้านไปทำงาน วันนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ใช้เวลาช้าลง

รู้สึกสงบ ปลอดโปร่ง อากาศเย็นลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา เสียงนกร้อง เสียงกระดิ่งจักรยาน แสงแดดอ่อนๆ ทั้งหมดนั้นช่วยทำให้เช้านี้เป็นเวลาที่่พิเศษไปอีกแบบ แม้ว่าในหัวยังวนเวียนคิดบางเรื่องอยู่แต่บรรยากาศรอบตัวก็ทำให้มันไหลลื่นไปตามทางของมัน ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด

31 ธันวา เป็นวันสุดท้ายแล้วของปี เวลาทั้งหมดที่ผ่านมาหายไปไหนเร็วจริง ปีหน้าที่จะมาถึงถ้าไม่ระวังตัว ไม่มีสติ เวลาก็คงจะผ่านไปแบบไม่รู้ตัวอีก อยากจะทำอะไรหลายๆอย่างให้ได้ตามที่ตั้งใจ อยากให้เป็นปีที่เริ่มต้นจังหวะใหม่ของชีวิตที่ไม่ซ้ำรอยความทุกข์ เศร้า ดัีงที่ผ่านมา อยากให้ความทุกข์ เศร้า ที่อาจเผชิญในอนาคตเกิดขึ้นพร้อมด้วยสติ รู้เนื้อรู้ตัว ไม่จมปลัก ติดหล่มนานอีกต่อไป ขอให้ได้เริ่มต้นใหม่จริงๆเสียที อธิษฐาน...

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Under every stone and leaf,that which is eternal exists


What brings understanding is love. When your heart is full, then you will listen to the teacher, to the beggar, to the laughter of children, to the rainbow, and to the sorrow of man. Under every stone and leaf, that which is eternal exists. But we do not know how to look for it. Our minds and hearts are filled with other things than understanding of "what is". Love and mercy, kindliness and generosity do not cause enmity. When you love, you are very near truth. For, love makes for sensitivity, for vulnerability. That which is sensitive is capable of renewal. Then truth will come into being. It cannot come if your mind and heart are burdened, heavy with ignorance and animosity.

J Krishnamurti.
The Collected Works vol. IV, p 200

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ปั้นฝันร่วมกัน







สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจัดเวิร์คชอปให้กลุ่มนักศึกษาที่เป็นแกนนำอาสาสมัคร ประมาณ 20 คน ณ บ้านกลางสวน สมุทรสงคราม เป็น 3 วันที่สนุกสนานมาก ทุกคนกระตือรือร้น ตั้งใจ ใส่ใจ กับกระบวนการกิจกรรมต่างๆอย่างยิ่ง ทำให้บรรยากาศระหว่างอาสาสมัครด้วยกันเองและกับทีมกระบวนกรราบรื่น และกระบวนการก็ flow ดีมาก ทุกครั้งหลังการกิจกรรม วงคุยสรุป/ถอดบทเรียน จึงออกรสออกชาติ เต็มไปด้วยความรู้สึก ความคิดเห็น ของทุกคนถ้วนทั่วกัน

ในฐานะของคนจัดและคนที่ต้องการความร่วมมือและพลังในการทำงานร่วมกันต่อจากแกนนำทั้งหมดนี้ เราเองมีความภูมิใจและรู้สึก
มีพลังใจขึ้นมาอย่างมาก เห็นเป้าหมายร่วยมกันในอนาคตมากขึ้น ว่าในการเคลื่อนงาน(ยาก)นี้เราจะมีทีมที่เข้มแข็งเป็นกำลังสำคัญ
ผลักดันไปสู่เป้าหมายร่วมกัน ขอบคุณทุกคนอย่างยิ่ง ^-^

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กำลังจะผ่านไปอีกปี


กำลังจะสิ้นปีผ่านไปและปีใหม่กำลังะมาถึงอีกครั้ง เพราะชีวิตเราถูกกำกับอยู๋ด้วยตัวเลขของเวลา มันเลยทำให้รู้สึกว่าชีวิตเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆตามตัวเลขบอกความมากน้อยของเวลา แต่ไม่อาจพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเวลาที่ผ่านไป "เรา" เติบโตอย่างแท้จริงหรือไม่ เข้าใจชีวิต ผู้คน โลก มากขึ้นเพียงใด

โดยมากพอเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังจะสิ้นปี ก็มัีกจะครุ่นคิดถึงเรื่องราว ผู้คน ที่ผ่านมา เหล่านั้นฝากอะไรไว้กับชีวิตของเราบ้าง ความทุกข์ สุข เป็นอย่างไร ทั้งสิ่งที่ยังคงอยู่และหลายสิ่งที่หายจากไปอย่างเงียบๆ ทั้งหมดเราคงต้องยอมรับให้ได้ว่ามันคือสาระของความธรรมดาสามัญของชีวิต ไม่ว่าเราจะยอมรับได้หรือไม่ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว นั่นคือข้อเท็จจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

แต่ชีวิตของเราเองล่ะ เรายังเลือกที่จะดำเนินต่อไปในทิศทางที่เข้าใกล้ความสุขมากขึ้นได้มิใช่หรือ เหตุใดเราจึงใช้ชีวิตที่ห่างไกลจากความสุขออกไปมากขึ้นทุกที มันเป็นคำสาปของความดื้อรั้นของมนุษย์? ที่เราไม่เคยพอใจ เข้าใจ กับปัจจุบัน ในเมื่อเราอยากมีความสุข เราก็ควรต้องสร้างเงื่อนไขของชีวิตให้นำไปสู่ความสุขที่แท้

อย่างไรก็ตามถ้าเรื่องทั้งหมดมันง่าย ศาสดาของศาสนา/ลัทธิ/ความเชื่อ ต่างๆในโลกคงไม่ต้องผ่านความทุกข์ยาก เผชิญมาร ก่อนที่จะเข้าใจแก่นสาระสำคัญที่สุดของชีวิต นึกถึงคำสอนของอาจารย์ที่เคารพ " Suffering brings wisdom" ในเวลานั้นเราไม่อยากที่จะยอมรับความจริงแบบนี้เลย แต่เมื่อโตมากขึ้นเรื่อยๆก็พบว่าคำพูดนั้นไม่ได้ห่างไกลจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตแม้แต่น้อย

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เมื่อแม่เอ่ย....

อยู่ๆวันหนึ่งแม่ก็พูดขึ้นมาว่า "อะไรที่จำๆไว้เยอะก็ทิ้งๆมันไปบ้างก็ได้นะ แม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้เราทุกข์
แต่การช่างจดช่างจำเอาไว้นานๆมันทำให้เราเหมือนมีบ่วงในใจไปตลอดชีวิต"

แม่ที่ปกติมักไม่ค่อยคุยอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวมากๆของเรา แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าเราเป็นอย่างไร
แม่มักจะมองเห็น รับรู้ ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตลูก ไม่ว่าเขาจะพูดหรือไม่พูดถึงมันก็ตาม

หลายปัญหาในชีวิตเราก็คงไม่ได้คิดอยากจะพูดให้ใครฟังไปทั้งหมดแม้ว่าจะกับคนในครอบครัว
โดยเฉพาะเมื่อเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา บางทีเราก็คิดเอาเองว่า
บางเรื่องคงไม่มีใครมาช่วยเราแก้ไขได้ ซึ่งที่สุดแล้วมันก็อาจจริงเช่นนั้น แต่ความสัมพันธ์กับแม่
มันซับซ้อนมากกว่าที่เราเข้าใจเองมาก เราตระหนักในที่สุดว่า แม่ก็จะรู้ทุกอย่างที่เป็นเราแน่นอน
ไม่ว่าแม่จะชอบหรือไม่ชอบสิ่งที่เราเป็นอยู่ก็ตาม เขาก็จะไม่ขัดขวางสิ่งที่เราเป็นอยู่ แต่คงเป็น
บางเวลาที่พอเหมาะ ที่แม่จะเอ่ยถ้อยคำบางอย่างออกมา เตือนสติเราให้รู้ว่าไม่ใช่เราไม่มีใครเข้าใจ
อย่างแท้จริงหรอก ยังไงแม่ก็เข้าใจเราวันยังค่ำ...

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Chasing Pirates



In your message you said, you were goin' to bed, but I'm not done with the night.
So I stayed up and read, but your words in my head, got me mixed up so I turned out the light.

And I, don't know how, to slow it down.
Oh,my mind's racing from chasing pirates.

Well the man in there swings while the silliest things, floppin around in my brain.
And I try not to dream but them possible schemes, swim around, wanna drown me in synch.

And I, don't know how, to slow it down.

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รู้ตัว


เมื่อวันที่รู้สึก "สุข" ขอจดจำความรู้สึกนั้นไว้ให้ดี
เมื่อวันที่รู้สึก "ทุกข์" ขอให้จดจำความรู้สึกนั้นไว้ให้ดี
เพราะเมื่อต้องกลับมาเจอกับทั้ง สุข และ ทุกข์ อีกจะำำได้เข้าใจและยอมรับได้ว่า
สองสิ่งนั้นมันอยู่ หายไป กลับมา เป็นเช่นนั้นเสมอ

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทบทวน

ช่วงเวลานี้ของชีวิต รู้สึกไม่ค่อยอยากพบปะกับใครมากนัก บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไร คล้ายๆว่าไม่รู้จะสนทนาอะไรหรือทำกิจกรรมอะไรร่วมกัน ส่วนมากพอมีเวลาว่างจึงเลือกที่จะไปไหนโดยลำพังมากกว่า รู้สึกว่าัตัวเองต้องการความเงียบและสงบข้างใน รู้สึกว่ากำลังพยายามใคร่ครวญหลายสิ่งในชีิวิต ปรับโฟกัส เรียกสติและความรู้เนื้อรู้ตัว ค่อนข้างมองเห็นตัวเองในช่วงที่อยู่กับผู้คนเยอะๆ สื่อสารออกนอกตัวเองมาก มันไม่ได้มีเวลาเข้าใจสิ่งที่ตัวเองสือสารออกไปมากนัก ฉะนั้นพอได้ความสงบภายในมากขึ้นจึงค่อยๆเรียบเรียงภาวะขุ่นมัวข้างในได้ยิ่งขึ้นด้วย

การทำงานใหม่ช่วงปีกว่าที่ผ่านมา ทำให้ห่างไกลจากระบวนการพัฒนาด้านในไปมาก ห่างจากกลุ่มกัลยาณมิตรที่เคยเป็นเพื่อนร่วมทางฝึกฝนและพัฒนาภาวะภายใน ห่างจากการสนทนาอย่างลึกซึ้ง พร้อมกับที่เราต้องกระโจนออกไปผจญภัยในเส้นทางใหม่ ต้องทำความรู้จักและยอมรับเงื่อนไขใหม่ๆในชีวิตที่ประดังประเดเข้ามาไม่หยุดหย่อน ซึ่งเราต้องขอบคุณการฝึกฝนก่อนหน้านั้นที่พอจะเป็นภูมิคุ้มใจให้เราผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากไปได้ เวลาผ่านไปเร็วเสียจริง รับรู้อีกทีก็พ้นไปอีกเกือบปี ยังคงเตรียมตัวรับมือกับสิ่งท้าทายใหม่ที่จะเข้ามา โดยเฉพาะกับตัวเอง ที่เป็นสิ่งท้าทายมากที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

The Rose - Aoi Teshima


Some say love it is a river
that drowns the tender reed
Some say love it is a razer
that leaves your soul to blead

Some say love it is a hunger
an endless aching need
I say love it is a flower
and you it's only seed

It's the heart afraid of breaking
that never learns to dance
It's the dream afraid of wakingthat never takes the chance
It's the one who won't be taken
who cannot seem to give
and the soul afraid of dyingthat never learns to live

When the night has been too lonely
and the road has been too long
and you think that love is only
for the lucky and the strong
Just remember in the winterfar beneath the bitter snows
lies the seed
that with the sun's love
in the spring
becomes the rose

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เป็นเช่นนี้เอง

เลือนลางกับสถานการณ์ ความเป็นจริง ความรู้สึก เริ่มสงสัยว่าสิ่งเคยเกิดขึ้นมันเคยเกิดขึ้นจริงหรือ ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อวันหนึ่งมันเคยแจ่มชัดเสียจนเราสงสัยว่ามันช่างมากมายเกินไป แต่พอถึงวันนี้ข้อสงสัยกลับยังคงอยู่แต่เป็นว่าทำไมมันถึงเบาบาง คล้ายนุ่นที่พร้อมจะลอยไปไกล เพียงแค่ลมหายใจกระทบ

มันคงมีความจริงบางอย่างอยู่ระหว่างความสงสัยนั้น มันคงเคยมีอยู่ และก็อาจจริงที่ว่ามันหายไป อะไรบางอย่างระหว่างบรรทัด ไม่อาจตีความได้ และเก็บเอามาเป็นข้อเท็จจริงก็ไม่ได้เช่นกัน เท่าที่ความทรงจำสามารถทำได้คือร่องรอยของความสุขและความทุกข์ซึ่งเมื่อชั่งดูแล้วพบว่าเท่าๆกัน เมื่อวันมีความสุขแทบไม่เคยรู้ตัวว่ามีความสุข แต่เมื่อมีความทุกข์ ทุกข์นั้นช่างหนักหนา จนอยากหายวับไปในบัดดล

มันก็แค่นี้เอง ค่อยๆจางหายไปทีละน้อย ที่ละน้อย ภาระความทรงจำที่ถูกแบกไว้มานาน เริ่มหล่นหายไปตามระยะเวลาของการเดินทาง ยิ่งยาวนานมากเท่าไหร่ ก็เหลือน้อยลงทุกที เบาบางจนแทบไม่รู้สึกถึงอะไรอีกต่อไป มันเป็นเช่นนั้น ช่วงเวลาแบบนั้นที่เราเคยสงสัยว่ามันจะเป็นอย่้างไร มันเป็นเช่นนี้เอง